S.Fiction 1859 | Track 1 : ร่ม
Title: Life in Different Sound
Fandom: Katekyo Hitman Reborn ! (c) Amano Akira
Paring: 1859 (Hibari * Gokudera)
Rating: PG13
Author: Devilz79
Fandom: Katekyo Hitman Reborn ! (c) Amano Akira
Paring: 1859 (Hibari * Gokudera)
Rating: PG13
Author: Devilz79
-------- T r a c k 1 : ร่ ม -----------------------------------------------
“ฝนตก...”
“อื้ม รู้”
บทสนทนาที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นบทสนทนาดังออกจากปากของเด็กหนุ่มร่างสูงเจ้าของผมสีดำเหมือนดวงตา กับเด็กหนุ่มร่างเล็กที่เงยหน้ามองฟ้าด้วยดวงตาสีเขียวใส
สายตาสีดำเหลือบมองคนข้างๆ ราวกับจะบอกว่า ‘ไม่ได้พูดด้วย’ แต่ว่าร่างเล็กกลับมัวแต่ชะเง้อคอมองออกไปข้างนอกที่ฝนไม่ได้มีทีท่าว่าจะซาลงบ้างเลย
ข้อมือเล็กที่คาดด้วยนาฬิกาเรือนใหญ่สีเข้มถูกพลิกขึ้นมามอง แล้วสองเท้าก็ย่ำกับที่ไปมาเหมือนหนูติดจั่น และมันพาให้คนที่ยืนข้างๆ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
“อะไร?” เมื่อโมโหกับฝนไม่ได้ อารมณ์ก็พาลจะลงกับคนที่ยืนข้างๆ เสียอย่างนั้น แต่อีกฝ่ายก็ได้แต่มองแล้วส่ายหน้าราวกับไม่อยากจะมีเรื่องในวันที่บรรยากาศแบบนี้
สองร่างที่ยืนใต้อาคารเรียนเดียวกัน แต่ว่าท่าทางดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“เฮ้ย รับสิวะ...” เสียงบ่นพึมพำเรียกให้ร่างสูงหันไปมอง ใบหน้ายับย่นที่แสดงกับโทรศัพท์มือถือในมือนั้นก็พอจะเรียกให้เขาหัวเราะออกมาในลำคอ...คนอะไร แสดงทุกอย่างที่รู้สึกออกมาทางสีหน้า “โธ่เว้ย แล้วจะยิ้มหาอะไร?”
ทำเสียงฟึดฟัดแล้วยัดโทรศัพท์เข้าไปในกระเป๋าตามเดิม ก่อนจะหันมาใส่อารมณ์กับคนที่ยืนข้างๆ...ที่ริมฝีปากไม่มีรอยยิ้มแม้แต่น้อย
...อ้าว ก็เขารู้สึกชัดๆ ว่าเจ้านี่มันกำลังยิ้มอยู่อ่ะ !
คนเสียงดังปิดปากนิ่ง แล้วเสหน้ามองออกไปเบื้องนอก ตั้งใจที่จะไม่สนใจคนตัวสูงกว่าที่ยืนหน้านิ่งได้ตลอดศก ไม่รู้ว่าพอใจหรือไม่พอใจกับไอ้ฝนบ้าที่มันเทลงมาแบบไร้กาลเทศะแบบนี้ แต่ที่แน่ๆ เขาไม่พอใจ เมื่อไรฝนมันถึงจะหยุดตกซะทีเนี่ย...
ครืนนน ---
เสียงฟ้าคำรามขึ้นมา พาให้คนที่ทำตัวขยุกขยิกสะดุ้งเบาๆ ก่อนที่ใบหน้าได้รูปนั้นจะยับย่นหนักกว่าเดิม เมื่อเสียงที่ตามมาคือเสียงน้ำฝนที่ซัดลงมาแบบไม่เกรงใจผู้คนบ้างเลย ดวงตากลมเผลอเหลือบมองคนที่ยืนอยู่ถัดจากตัวเองแล้วอดไม่ได้จะทำตาเขียวใส่อย่างไม่มีเหตุผล
ก็มันหงุดหงิด อยากออกไปจากที่ตรงนี้ซะที !!
เด็กหนุ่มตัวสูงกลอกตาขึ้นฟ้าด้วยความรำคาญเล็กๆ กับสายตาที่จ้องมองมา ฝนตกแบบนี้เขาขี้เกียจจะเปียกเพราะว่าต้องทะเลาะกับเจ้าบ้าที่เอาแต่ทำตัวน่าปวดหัว ลำตัวยาวเบี่ยงให้พ้นจากการมองของอีกคนหนึ่ง สายตามองเลยไปยังมุมตึกที่ถูกปิดประตูทางเข้า ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูเวลา แล้วพบว่าคลื่นสัญญาณที่มันควรเต็มกลับลดขีดหายไปหมด
มิน่าไอ้ตัวเล็กข้างๆ ถึงได้ทำท่าหงุดหงิดแบบนั้น ติดต่อใครก็ไม่ได้ ใครติดต่อมาก็ไม่ได้...พวกสุมหัวน่ารำคาญ
“จะตกอีกนานมั้ยเนี่ย” ไม่ใช่เสียงหงุดหงิดโมโห แต่เป็นเสียงแผ่วๆ ที่ดังขึ้นมาแทน คนฟังหันหน้าจะไปมอง แต่ว่าคนตัวเล็กนั้นก็หายไปจากสายตาเสียแล้ว “...ฉันเบื่อแล้วนะเว่ย ไอ้ฝนบ้า !” บ่นกระแทกเสียงรวมกับใบหน้าบูดบึ้งเหมือนเด็กๆ ไหนจะท่านั่งยองๆ ไปกับพื้นอีกล่ะ รวมๆ แล้วนั่นมีอาการของเด็กห้าขวบไม่ใช่หรือไง ?
“เดี๋ยวมันก็หยุดตกเองแหละน่า”
น้ำเสียงนิ่งเรียบดังแทรกเสียงเม็ดฝนกระทบดิน พาให้คนในระดับต่ำกว่าเงยหน้าขึ้นมามองอย่างประหลาดใจ...สาบานเถอะ ว่านี่คือเสียงของเจ้านี่น่ะ ! มันพูดได้...โอ่ววว เขาไม่ได้หูฝาดใช่มั้ย เห็นยืนเงียบมาตั้งนาน
ร่างในชุดนักเรียนแต่มีสูทสีดำคลุมปรายสายตามองคนที่จ้องเขาไม่ละก่อนจะเบือนหน้าหนีด้วยความรู้สึกแปลกๆ จนอยากจะยกนิ้วขึ้นมาถูจมูกเพื่ออะไรสักอย่าง ไม่ใช่ว่าอยากจะพูดด้วยเพียงแต่เห็นท่าทางแล้วน่ารำคาญ
“นายก็พูดได้อ่ะ ไม่ต้องรีบไปไหนเหมือนฉันซะหน่อย”
คนฟังส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจว่าจะไม่สร้างบทสนทนากับเจ้าคนแปลกหน้าที่นั่งมองน้ำฝนหยดลงในแอ่งน้ำจนเกิดเป็นวงกว้างกระจายไปเรื่อยๆ
“....ก็แค่ปีนี้ ถ้าฉันทำมันทันน่ะ....” พึมพำเสียงเบาเหมือนกับพูดคนเดียวมากกว่า แต่เพราะความเงียบนอกจากเสียงฝนแล้ว มันก็บังคับให้คนที่ยืนอยู่ได้ยินเสียงอ่อยๆ นั้น “เว้ยย ! แล้วเมื่อไรจะหยุดตกเนี่ย ไม่เบื่อหรือไงตกอยู่ได้” แล้วท่าทางก็เปลี่ยนไปฉับพลัน เมื่ออยู่ๆ คนผมเงินก็ลุกขึ้นมาแล้วเตะอากาศ โวยวายเสียงดัง
“จะยิ้มอะระ....”
หันหน้าตั้งใจจะตวาดใส่คนข้างๆ แต่ว่าคำพูดก็ต้องชะงักไปเมื่อใบหน้าเรียบเฉยนั้นก็ยังเป็นแบบเดิม ทำไมเขาถึงคิดว่าคนผมดำเขายิ้มอยู่นะ ?
ดวงตาเรียวของร่างสูงมองคนที่หยุดเสียงไปก่อนจะหัวเราะในลำคอ แล้วขยับตัวเคลื่อนไปข้างหน้า เรียกความแปลกใจให้กับคนที่มองตาม
“เฮ้ย !!!!” คนผมเงินส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ เมื่อคนที่เดินไปนั้นกำลังจะออกนอกตัวอาคารทั้งที่ฝนยังซัดกระหน่ำอยู่แบบนั้น คนบ้าหรือบ้ากันแน่ คิดจะเดินออกไปตอนนี้ ไอ้เปียกก็ไม่เท่าไร แต่แรงของน้ำฝนที่สาดใส่ตัวนี่สิ...
“น่ารำคาญ” เสียงนิ่งแบบเดิมดังขึ้นมา แล้วเจ้าตัวก็เดินดิ่งออกไปกลางสายฝน ทิ้งให้อีกคนมองตามด้วยความงุนงง มือเรียวเอื้อมจะไปคว้า แต่มันก็ดูว่าจะช้าเกินไป...ทำไงได้อ่ะ ก็ตกใจนี่หว่า เดี๋ยวนะ...แล้วไอ้เจ้าบ้านั่นบอกว่าน่ารำคาญงั้นเหรอ
...มันบ้าจริงๆ ด้วย แค่รำคาญถึงกับยอมเดินตามฝนเนี่ย เป็นเขา ก็คงเลือกที่จะปิดปากไอ้ตัวน่ารำคาญนั่นซะมากกว่า
คนตัวบางหันซ้ายหันขวา แล้วมองตามร่างที่ยังพอเห็นลางๆ อยู่ในเงาของสายฝน แต่อยู่ๆ สายตาก็ไปสะดุดกับวัตถุบางอย่างที่มันอิงอยู่ติดกับผนังของตัวตึก ข้างประตูที่ถูกปิดเอาไว้
...ร่ม ?
ร่างเล็กกระพริบตาถี่ด้วยความประหลาดใจเป็นกี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้ของวันนี้ เขาไม่ได้สนใจที่จะหันไปมองทางนั้น แต่เขาเห็นว่า...มีแวบนึงที่เจ้าบ้านั่นหันไปมอง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมองไม่เห็นร่ม...ทั้งที่เห็นแต่ทิ้งไว้แล้วเดินออกไปตัวเปียกแบบนั้นน่ะนะ ?
ผมสีเงินสะบัดตามแรงหันของใบหน้า มือเรียวยาวเอื้อมหยิบร่มแล้วกางมันออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบกระโจนออกไปกลางสายฝนที่ซะลงมาไม่ขาดสาย
สองตากวาดมองเพื่อหาร่างที่คาดว่าคงจะไปได้ไกลไม่นานเท่าไร แต่ความหนาของสายฝนก็ทำให้มองยากขึ้นไปอีก
เขาไม่เข้าใจว่าเขาจะตามหาอีกคนทำไม
เหมือนกับที่เขาก็ไม่เข้าใจว่า...ทำไมเจ้านั่นถึงทิ้งร่มเอาไว้
ปลายเท้าที่ชุ่มน้ำฝนก้าวเดินออกไปพลางหยุดแล้วหันมองรอบๆ ตัว เพื่อสำรวจหาร่างในชุดสีดำที่อย่างน้อยๆ ก็น่าจะเห็นได้ชัด...เขาหวังว่าเขาคงจะเห็น เมื่อไม่เห็น เท้าก็ออกย่ำน้ำต่อ เขาเชื่อว่าฝนแรงขนาดนี้ เจ้าสีดำคงไปไหนได้ไม่ไกลนักหรอก
สองขายาวก้าวเดินต่อออกไปข้างหน้า ยังใช้สายตาสอดส่องหาเสื้อคลุมสีดำที่มันเป็นสิ่งเดียวที่พอให้สังเกตได้ เหงื่อมันไหลชุ่มเต็มใบหน้า บางทีอาจจะเป็นจากน้ำฝนด้วยละมั้ง ร่างเล็กใช้แขนเสื้อขึ้นปาดเอาน้ำบนใบหน้าออก แต่เมื่อเนื้อผ้าสัมผัสกับหน้า ก็รู้ได้ทันทีว่า...
ตอนนี้ตัวเขาก็เปียกไปด้วยน้ำฝนแล้ว
ให้ตายเถอะ มันบ้าไปแล้ว...บ้าที่สุด !! เขานี่แหละบ้าไปแล้ว ทำไมจะต้องเสียเวลาเดินตามหาคนที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ ทั้งที่ตัวเองก็มีเรื่องที่สมควรจะทำในวันนี้ แล้วไอ้ตัวเปียกเละเทะทั้งๆ ที่มีร่มอยู่ในมือมันไม่ได้น่าอภิรมย์ไปกว่าการยืนรอให้ฝนหยุดตกสักนิด
“โธ่เว้ยยยย !!” เมื่อทั้งหาคนไม่เจอ ทั้งหงุดหงิดกับการกระทำของตัวเอง เท้าเล็กเลยสะบัดใส่แอ่งน้ำที่มันเอ่อมาตรงเท้า ใบหน้าเรียวยู่ลง ริมฝีปากอิ่มถูกกัดเข้าหากันอย่างขัดใจ เขามาทำบ้าอะไรอยู่วะเนี่ย
คนที่ผมลู่ลงเพราะไอฝนเบะปากแล้วหลับตาลง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยองๆ กับพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำฝน ไม่ใช่เขาไม่แคร์คน แต่ว่าตรงนี้มันก็ไม่ได้มีผู้คนที่จะให้เขาแคร์แล้ว กลางฝนตกที่หนักแบบนี้ จะมีใครที่ทะเล่อทะล่าออกมาท้าฝนบ้าง
ไม่มี...
“นั่งดูน้ำฝนมันสนุกนักรึไง?” คำถามแปลกๆ ที่ได้ยินเหนือหัว พาให้ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนจะทะลึ่งพรวดลุกขึ้นจนร่มไปกระแทกกับอะไรบางอย่าง แล้วร่างเล็กใต้ร่มคันใหญ่ก็ค่อยหันหลังกลับมามอง
...อย่างประหลาดใจ
เสียงหัวเราะที่ไม่สดใสดังขึ้นกลางเสียงสายฝนที่เทลงมา คนผมเงินยกมือขึ้นลูบเรือนผมตัวเองแล้วขยี้ไปมาก่อนจะหัวเราะออกมาอีกรอบ...วันนี้เขาประหลาดใจมากเกินไปหรือเปล่า เขาควรจะชินกับเรื่องแปลกๆ ที่มันเกิดขึ้นในเวลาที่เขาได้พบเจอกับเจ้าสีดำ
ร่างสูงโปร่งดวงตาเรียวคมที่สีดำเหมือนกับเส้นผมและชุดยูนิฟอร์มที่มันลู่ลงเพราะโดนฝนเข้าเต็มๆ
คนที่โดนน้ำฝนเข้าไปทั้งตัวจ้องหน้าคนที่ฉีกยิ้มด้วยใบหน้ามู่ทู่แล้วถอนหายใจออกมา ฝนที่มันตกหนักขนาดนี้...เขาไม่คิดว่านอกจากเขาแล้วจะมีใครที่ไหนที่จะฝ่าฝนออกมา เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะคิดผิด
แค่สายตามันบังเอิญไปเห็นร่มสีดำกลางสายฝน เป็นร่มสีเดียวกับที่เขาเห็นมันวางอิงกับผนังอาคาร เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นคันเดียวกัน และการที่เขาเดินเข้ามาดู ไม่ได้แปลว่าเขากำลังคาดหวังว่าคนใต้ร่มคันนี้จะเป็นเจ้าตัวเล็กน่ารำคาญ
แต่อยู่ๆ ที่ร่มคันนี้ก็ลดระดับลงแทบติดกับพื้นเพราะคนถือนั้นทรุดตัวลง มันก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเฝื่อนถ้าเกิดว่าเขาไม่ได้นึกถึงคนผมเงินที่อยู่ๆ อยากจะนั่งก็นั่งเอาซะดื้อๆ
“นาย...มาได้ไง...? นายไปอยู่ที่ไหนมาวะ ไอ้เจ้า..ไอ้เจ้าบ้า !!” คำถามแผ่วเบา แต่ในตอนท้ายกลับเป็นเสียงตะคอกพาให้ร่างสูงนิ่วหน้า
“แล้วจะไปยืนตากฝนให้มันได้อะไรมาเล่าฟระ เข้ามาเซ่ะ!!” มือเล็กเอื้อมไปดึงตัวคนที่ยืนทำหน้าเดียวอยู่นอกร่ม ถึงมันจะเปียกไปแล้วเต็มตัวก็เถอะ ให้เข้าร่มสมกับค่าเหนื่อยของเขาก็ยังดี
“อื้ม รู้”
บทสนทนาที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นบทสนทนาดังออกจากปากของเด็กหนุ่มร่างสูงเจ้าของผมสีดำเหมือนดวงตา กับเด็กหนุ่มร่างเล็กที่เงยหน้ามองฟ้าด้วยดวงตาสีเขียวใส
สายตาสีดำเหลือบมองคนข้างๆ ราวกับจะบอกว่า ‘ไม่ได้พูดด้วย’ แต่ว่าร่างเล็กกลับมัวแต่ชะเง้อคอมองออกไปข้างนอกที่ฝนไม่ได้มีทีท่าว่าจะซาลงบ้างเลย
ข้อมือเล็กที่คาดด้วยนาฬิกาเรือนใหญ่สีเข้มถูกพลิกขึ้นมามอง แล้วสองเท้าก็ย่ำกับที่ไปมาเหมือนหนูติดจั่น และมันพาให้คนที่ยืนข้างๆ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
“อะไร?” เมื่อโมโหกับฝนไม่ได้ อารมณ์ก็พาลจะลงกับคนที่ยืนข้างๆ เสียอย่างนั้น แต่อีกฝ่ายก็ได้แต่มองแล้วส่ายหน้าราวกับไม่อยากจะมีเรื่องในวันที่บรรยากาศแบบนี้
สองร่างที่ยืนใต้อาคารเรียนเดียวกัน แต่ว่าท่าทางดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“เฮ้ย รับสิวะ...” เสียงบ่นพึมพำเรียกให้ร่างสูงหันไปมอง ใบหน้ายับย่นที่แสดงกับโทรศัพท์มือถือในมือนั้นก็พอจะเรียกให้เขาหัวเราะออกมาในลำคอ...คนอะไร แสดงทุกอย่างที่รู้สึกออกมาทางสีหน้า “โธ่เว้ย แล้วจะยิ้มหาอะไร?”
ทำเสียงฟึดฟัดแล้วยัดโทรศัพท์เข้าไปในกระเป๋าตามเดิม ก่อนจะหันมาใส่อารมณ์กับคนที่ยืนข้างๆ...ที่ริมฝีปากไม่มีรอยยิ้มแม้แต่น้อย
...อ้าว ก็เขารู้สึกชัดๆ ว่าเจ้านี่มันกำลังยิ้มอยู่อ่ะ !
คนเสียงดังปิดปากนิ่ง แล้วเสหน้ามองออกไปเบื้องนอก ตั้งใจที่จะไม่สนใจคนตัวสูงกว่าที่ยืนหน้านิ่งได้ตลอดศก ไม่รู้ว่าพอใจหรือไม่พอใจกับไอ้ฝนบ้าที่มันเทลงมาแบบไร้กาลเทศะแบบนี้ แต่ที่แน่ๆ เขาไม่พอใจ เมื่อไรฝนมันถึงจะหยุดตกซะทีเนี่ย...
ครืนนน ---
เสียงฟ้าคำรามขึ้นมา พาให้คนที่ทำตัวขยุกขยิกสะดุ้งเบาๆ ก่อนที่ใบหน้าได้รูปนั้นจะยับย่นหนักกว่าเดิม เมื่อเสียงที่ตามมาคือเสียงน้ำฝนที่ซัดลงมาแบบไม่เกรงใจผู้คนบ้างเลย ดวงตากลมเผลอเหลือบมองคนที่ยืนอยู่ถัดจากตัวเองแล้วอดไม่ได้จะทำตาเขียวใส่อย่างไม่มีเหตุผล
ก็มันหงุดหงิด อยากออกไปจากที่ตรงนี้ซะที !!
เด็กหนุ่มตัวสูงกลอกตาขึ้นฟ้าด้วยความรำคาญเล็กๆ กับสายตาที่จ้องมองมา ฝนตกแบบนี้เขาขี้เกียจจะเปียกเพราะว่าต้องทะเลาะกับเจ้าบ้าที่เอาแต่ทำตัวน่าปวดหัว ลำตัวยาวเบี่ยงให้พ้นจากการมองของอีกคนหนึ่ง สายตามองเลยไปยังมุมตึกที่ถูกปิดประตูทางเข้า ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูเวลา แล้วพบว่าคลื่นสัญญาณที่มันควรเต็มกลับลดขีดหายไปหมด
มิน่าไอ้ตัวเล็กข้างๆ ถึงได้ทำท่าหงุดหงิดแบบนั้น ติดต่อใครก็ไม่ได้ ใครติดต่อมาก็ไม่ได้...พวกสุมหัวน่ารำคาญ
“จะตกอีกนานมั้ยเนี่ย” ไม่ใช่เสียงหงุดหงิดโมโห แต่เป็นเสียงแผ่วๆ ที่ดังขึ้นมาแทน คนฟังหันหน้าจะไปมอง แต่ว่าคนตัวเล็กนั้นก็หายไปจากสายตาเสียแล้ว “...ฉันเบื่อแล้วนะเว่ย ไอ้ฝนบ้า !” บ่นกระแทกเสียงรวมกับใบหน้าบูดบึ้งเหมือนเด็กๆ ไหนจะท่านั่งยองๆ ไปกับพื้นอีกล่ะ รวมๆ แล้วนั่นมีอาการของเด็กห้าขวบไม่ใช่หรือไง ?
“เดี๋ยวมันก็หยุดตกเองแหละน่า”
น้ำเสียงนิ่งเรียบดังแทรกเสียงเม็ดฝนกระทบดิน พาให้คนในระดับต่ำกว่าเงยหน้าขึ้นมามองอย่างประหลาดใจ...สาบานเถอะ ว่านี่คือเสียงของเจ้านี่น่ะ ! มันพูดได้...โอ่ววว เขาไม่ได้หูฝาดใช่มั้ย เห็นยืนเงียบมาตั้งนาน
ร่างในชุดนักเรียนแต่มีสูทสีดำคลุมปรายสายตามองคนที่จ้องเขาไม่ละก่อนจะเบือนหน้าหนีด้วยความรู้สึกแปลกๆ จนอยากจะยกนิ้วขึ้นมาถูจมูกเพื่ออะไรสักอย่าง ไม่ใช่ว่าอยากจะพูดด้วยเพียงแต่เห็นท่าทางแล้วน่ารำคาญ
“นายก็พูดได้อ่ะ ไม่ต้องรีบไปไหนเหมือนฉันซะหน่อย”
คนฟังส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจว่าจะไม่สร้างบทสนทนากับเจ้าคนแปลกหน้าที่นั่งมองน้ำฝนหยดลงในแอ่งน้ำจนเกิดเป็นวงกว้างกระจายไปเรื่อยๆ
“....ก็แค่ปีนี้ ถ้าฉันทำมันทันน่ะ....” พึมพำเสียงเบาเหมือนกับพูดคนเดียวมากกว่า แต่เพราะความเงียบนอกจากเสียงฝนแล้ว มันก็บังคับให้คนที่ยืนอยู่ได้ยินเสียงอ่อยๆ นั้น “เว้ยย ! แล้วเมื่อไรจะหยุดตกเนี่ย ไม่เบื่อหรือไงตกอยู่ได้” แล้วท่าทางก็เปลี่ยนไปฉับพลัน เมื่ออยู่ๆ คนผมเงินก็ลุกขึ้นมาแล้วเตะอากาศ โวยวายเสียงดัง
“จะยิ้มอะระ....”
หันหน้าตั้งใจจะตวาดใส่คนข้างๆ แต่ว่าคำพูดก็ต้องชะงักไปเมื่อใบหน้าเรียบเฉยนั้นก็ยังเป็นแบบเดิม ทำไมเขาถึงคิดว่าคนผมดำเขายิ้มอยู่นะ ?
ดวงตาเรียวของร่างสูงมองคนที่หยุดเสียงไปก่อนจะหัวเราะในลำคอ แล้วขยับตัวเคลื่อนไปข้างหน้า เรียกความแปลกใจให้กับคนที่มองตาม
“เฮ้ย !!!!” คนผมเงินส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ เมื่อคนที่เดินไปนั้นกำลังจะออกนอกตัวอาคารทั้งที่ฝนยังซัดกระหน่ำอยู่แบบนั้น คนบ้าหรือบ้ากันแน่ คิดจะเดินออกไปตอนนี้ ไอ้เปียกก็ไม่เท่าไร แต่แรงของน้ำฝนที่สาดใส่ตัวนี่สิ...
“น่ารำคาญ” เสียงนิ่งแบบเดิมดังขึ้นมา แล้วเจ้าตัวก็เดินดิ่งออกไปกลางสายฝน ทิ้งให้อีกคนมองตามด้วยความงุนงง มือเรียวเอื้อมจะไปคว้า แต่มันก็ดูว่าจะช้าเกินไป...ทำไงได้อ่ะ ก็ตกใจนี่หว่า เดี๋ยวนะ...แล้วไอ้เจ้าบ้านั่นบอกว่าน่ารำคาญงั้นเหรอ
...มันบ้าจริงๆ ด้วย แค่รำคาญถึงกับยอมเดินตามฝนเนี่ย เป็นเขา ก็คงเลือกที่จะปิดปากไอ้ตัวน่ารำคาญนั่นซะมากกว่า
คนตัวบางหันซ้ายหันขวา แล้วมองตามร่างที่ยังพอเห็นลางๆ อยู่ในเงาของสายฝน แต่อยู่ๆ สายตาก็ไปสะดุดกับวัตถุบางอย่างที่มันอิงอยู่ติดกับผนังของตัวตึก ข้างประตูที่ถูกปิดเอาไว้
...ร่ม ?
ร่างเล็กกระพริบตาถี่ด้วยความประหลาดใจเป็นกี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้ของวันนี้ เขาไม่ได้สนใจที่จะหันไปมองทางนั้น แต่เขาเห็นว่า...มีแวบนึงที่เจ้าบ้านั่นหันไปมอง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมองไม่เห็นร่ม...ทั้งที่เห็นแต่ทิ้งไว้แล้วเดินออกไปตัวเปียกแบบนั้นน่ะนะ ?
ผมสีเงินสะบัดตามแรงหันของใบหน้า มือเรียวยาวเอื้อมหยิบร่มแล้วกางมันออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบกระโจนออกไปกลางสายฝนที่ซะลงมาไม่ขาดสาย
สองตากวาดมองเพื่อหาร่างที่คาดว่าคงจะไปได้ไกลไม่นานเท่าไร แต่ความหนาของสายฝนก็ทำให้มองยากขึ้นไปอีก
เขาไม่เข้าใจว่าเขาจะตามหาอีกคนทำไม
เหมือนกับที่เขาก็ไม่เข้าใจว่า...ทำไมเจ้านั่นถึงทิ้งร่มเอาไว้
ปลายเท้าที่ชุ่มน้ำฝนก้าวเดินออกไปพลางหยุดแล้วหันมองรอบๆ ตัว เพื่อสำรวจหาร่างในชุดสีดำที่อย่างน้อยๆ ก็น่าจะเห็นได้ชัด...เขาหวังว่าเขาคงจะเห็น เมื่อไม่เห็น เท้าก็ออกย่ำน้ำต่อ เขาเชื่อว่าฝนแรงขนาดนี้ เจ้าสีดำคงไปไหนได้ไม่ไกลนักหรอก
สองขายาวก้าวเดินต่อออกไปข้างหน้า ยังใช้สายตาสอดส่องหาเสื้อคลุมสีดำที่มันเป็นสิ่งเดียวที่พอให้สังเกตได้ เหงื่อมันไหลชุ่มเต็มใบหน้า บางทีอาจจะเป็นจากน้ำฝนด้วยละมั้ง ร่างเล็กใช้แขนเสื้อขึ้นปาดเอาน้ำบนใบหน้าออก แต่เมื่อเนื้อผ้าสัมผัสกับหน้า ก็รู้ได้ทันทีว่า...
ตอนนี้ตัวเขาก็เปียกไปด้วยน้ำฝนแล้ว
ให้ตายเถอะ มันบ้าไปแล้ว...บ้าที่สุด !! เขานี่แหละบ้าไปแล้ว ทำไมจะต้องเสียเวลาเดินตามหาคนที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ ทั้งที่ตัวเองก็มีเรื่องที่สมควรจะทำในวันนี้ แล้วไอ้ตัวเปียกเละเทะทั้งๆ ที่มีร่มอยู่ในมือมันไม่ได้น่าอภิรมย์ไปกว่าการยืนรอให้ฝนหยุดตกสักนิด
“โธ่เว้ยยยย !!” เมื่อทั้งหาคนไม่เจอ ทั้งหงุดหงิดกับการกระทำของตัวเอง เท้าเล็กเลยสะบัดใส่แอ่งน้ำที่มันเอ่อมาตรงเท้า ใบหน้าเรียวยู่ลง ริมฝีปากอิ่มถูกกัดเข้าหากันอย่างขัดใจ เขามาทำบ้าอะไรอยู่วะเนี่ย
คนที่ผมลู่ลงเพราะไอฝนเบะปากแล้วหลับตาลง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยองๆ กับพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำฝน ไม่ใช่เขาไม่แคร์คน แต่ว่าตรงนี้มันก็ไม่ได้มีผู้คนที่จะให้เขาแคร์แล้ว กลางฝนตกที่หนักแบบนี้ จะมีใครที่ทะเล่อทะล่าออกมาท้าฝนบ้าง
ไม่มี...
“นั่งดูน้ำฝนมันสนุกนักรึไง?” คำถามแปลกๆ ที่ได้ยินเหนือหัว พาให้ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนจะทะลึ่งพรวดลุกขึ้นจนร่มไปกระแทกกับอะไรบางอย่าง แล้วร่างเล็กใต้ร่มคันใหญ่ก็ค่อยหันหลังกลับมามอง
...อย่างประหลาดใจ
เสียงหัวเราะที่ไม่สดใสดังขึ้นกลางเสียงสายฝนที่เทลงมา คนผมเงินยกมือขึ้นลูบเรือนผมตัวเองแล้วขยี้ไปมาก่อนจะหัวเราะออกมาอีกรอบ...วันนี้เขาประหลาดใจมากเกินไปหรือเปล่า เขาควรจะชินกับเรื่องแปลกๆ ที่มันเกิดขึ้นในเวลาที่เขาได้พบเจอกับเจ้าสีดำ
ร่างสูงโปร่งดวงตาเรียวคมที่สีดำเหมือนกับเส้นผมและชุดยูนิฟอร์มที่มันลู่ลงเพราะโดนฝนเข้าเต็มๆ
คนที่โดนน้ำฝนเข้าไปทั้งตัวจ้องหน้าคนที่ฉีกยิ้มด้วยใบหน้ามู่ทู่แล้วถอนหายใจออกมา ฝนที่มันตกหนักขนาดนี้...เขาไม่คิดว่านอกจากเขาแล้วจะมีใครที่ไหนที่จะฝ่าฝนออกมา เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะคิดผิด
แค่สายตามันบังเอิญไปเห็นร่มสีดำกลางสายฝน เป็นร่มสีเดียวกับที่เขาเห็นมันวางอิงกับผนังอาคาร เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นคันเดียวกัน และการที่เขาเดินเข้ามาดู ไม่ได้แปลว่าเขากำลังคาดหวังว่าคนใต้ร่มคันนี้จะเป็นเจ้าตัวเล็กน่ารำคาญ
แต่อยู่ๆ ที่ร่มคันนี้ก็ลดระดับลงแทบติดกับพื้นเพราะคนถือนั้นทรุดตัวลง มันก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเฝื่อนถ้าเกิดว่าเขาไม่ได้นึกถึงคนผมเงินที่อยู่ๆ อยากจะนั่งก็นั่งเอาซะดื้อๆ
“นาย...มาได้ไง...? นายไปอยู่ที่ไหนมาวะ ไอ้เจ้า..ไอ้เจ้าบ้า !!” คำถามแผ่วเบา แต่ในตอนท้ายกลับเป็นเสียงตะคอกพาให้ร่างสูงนิ่วหน้า
“แล้วจะไปยืนตากฝนให้มันได้อะไรมาเล่าฟระ เข้ามาเซ่ะ!!” มือเล็กเอื้อมไปดึงตัวคนที่ยืนทำหน้าเดียวอยู่นอกร่ม ถึงมันจะเปียกไปแล้วเต็มตัวก็เถอะ ให้เข้าร่มสมกับค่าเหนื่อยของเขาก็ยังดี
ใต้ร่มคันนี้มันยังมีพื้นที่ว่างพอ
อยากจะขอสักคนเข้ามาอยู่กับฉัน
อยู่ด้วยกัน ท่ามกลางหยดฝน
อยากจะขอสักคนเข้ามาอยู่กับฉัน
อยู่ด้วยกัน ท่ามกลางหยดฝน
“ไหนบอกว่ามีเรื่องที่ต้องทำ
แล้วมาเดินตากฝนแบบนี้มันใช่เรื่องรึไง?” เสียงนิ่งๆ
ที่เอ่ยถามออกมาพาให้คนโดนถามจิ๊ปากแล้วหันหน้าไปมองคนข้างๆ
ที่เดินกอดอกอยู่ เสื้อสูทสีดำนั้นมาพาดอยู่บนแขนแทนที่จะคลุมที่ตัว
“...ก็เพราะใครกันเล่าฟระ แล้วเปียกขนาดนี้ทำยังไงก็ออกมาห่วยแตกอยู่ดีนั่นแหละ” ตวัดเสียงด้วยความโมโหเล็กๆ ไม่ได้รู้ตัวเลยนะว่าที่เขาเปียกโชกไปทั้งตัว แล้วธุระที่ต้องทำก็ไม่ได้ทำมันเป็นเพราะใคร หมั่นไส้โว้ยยย ! ไอ้เจ้าบ้า...
“เออ นายชื่ออะไร?” เพิ่งจะมารู้สึกเมื่ออยากจะด่าแต่ไม่รู้จักชื่อ เหมือนจะความรู้สึกช้า แต่เขาวิ่งหาคนที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อกลางสายฝนเนี่ยเหรอ ฮ่ะ...บางทีคนที่บ้ามันอาจจะเป็นเขาก็เป็นได้
คนถูกถามชื่อมองคนที่แสดงสีหน้าออกมาว่ากำลังคุยกับตัวเองแล้วส่ายหน้า เขาส่ายหน้าให้กับคนคนนี้กี่ครั้งกัน “ฮิบาริ เคียวยะ” ตอบออกมาเสียงนิ่ง ไม่มีการถามกลับอย่างที่ควรจะเป็น แต่ว่าคนฟังก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจมารยาทเหล่านี้สักเท่าไร
“ฮิบาริ...ฮิบาริ เคียวยะเหรอ?” ชื่อคุ้นๆ เหมือนกับว่าเคยได้ยิน ไม่สิ...เรียกว่าชื่อนี้มันเข้าหูเขาบ่อยต่างหาก เข้าหูบ่อยๆ ก็คงจะไม่พ้นจากรั้วโรงเรียน เพราะเจ้านี่คงไม่ดังกระฉ่อนขนาดออกสื่อหรอกน่า...ถ้าโรงเรียน...อื้มม...ฮิบาริ เคียวยะ ...รักษาระเบียบ...เฮ้ย !!!
“ประธานรักษาระเบียบงี่เง่านั่นน่ะเหรอ !?” ตะโกนถามออกมาด้วยความตกใจจนแทบจะปล่อยร่มหลุดจากมือ เมื่อความเงียบคือคำตอบ ร่างเล็กก็ใช้เวลาขณะนั้นประมวลผลคำพูดตัวเองอีกรอบ บางทีปากเขาก็ตรงกับความคิดไปบ้าง
“งี่เง่างั้นเหรอ ? โกคุเดระ ฮายาโตะ...” ตาคมกริบหันมามองคนที่ยืนข้างๆ รวมกับน้ำเสียงเย็นเฉียบพาให้เจ้าของชื่อเสียววาบ แต่ความกลัวก็ต้องเปลี่ยนเป็นสิ่งที่เขารู้สึกมาทั้งวันนั่นก็คือ...ประหลาดใจ เจ้าประธานกฎเกณฑ์งี่เง่านี่รู้จักชื่อของเขาด้วยเหรอ ?
“นายบอกชื่อฉันไปแล้ว” ตอบคำถามที่ไม่ได้ถาม
“ตอนไหนฟระ ? ยังไม่ได้บอก”
ไม่มีคำต่อล้อต่อเถียง มีแต่สายตาที่ส่งมาว่าให้หุบปาก ก็พาให้ความหงุดหงิดปนงุนงงนั้นจุกอยู่ที่ลำคอ เออ...เขาอาจจะบอกชื่อไปแล้วก็ได้มั้ง ตามใจเว้ย !
เสียงฮึดฮัดที่ดังออกมาเบาๆ พาให้ฮิบาริมองร่างเล็กที่ถือร่มอยู่ด้วยสายตาที่ต่างออกไปจากเมื่อครู่ แล้วสายตาก็ต้องแปรเปลี่ยนไปเมื่อถูกดวงตากลมๆ นั้นสบเข้าให้พร้อมกลับเสียงหงุดหงิดที่เจืออยู่กลายๆ
“จะยิ้มทำไม...เอ่อ...”
เป็นอีกครั้งที่โกคุเดระต้องกลืนคำพูดตัวเองลงคอ ในเมื่อใบหน้าเรียบเฉยนั้นก็ยังคงความโมโนโทนอยู่เช่นเดิม ไม่ได้เปลี่ยนไป
แต่ว่าเขารู้สึกจริงๆ นะ...รอยยิ้มของคนที่เดินอยู่ข้างๆ น่ะ
“...ก็เพราะใครกันเล่าฟระ แล้วเปียกขนาดนี้ทำยังไงก็ออกมาห่วยแตกอยู่ดีนั่นแหละ” ตวัดเสียงด้วยความโมโหเล็กๆ ไม่ได้รู้ตัวเลยนะว่าที่เขาเปียกโชกไปทั้งตัว แล้วธุระที่ต้องทำก็ไม่ได้ทำมันเป็นเพราะใคร หมั่นไส้โว้ยยย ! ไอ้เจ้าบ้า...
“เออ นายชื่ออะไร?” เพิ่งจะมารู้สึกเมื่ออยากจะด่าแต่ไม่รู้จักชื่อ เหมือนจะความรู้สึกช้า แต่เขาวิ่งหาคนที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อกลางสายฝนเนี่ยเหรอ ฮ่ะ...บางทีคนที่บ้ามันอาจจะเป็นเขาก็เป็นได้
คนถูกถามชื่อมองคนที่แสดงสีหน้าออกมาว่ากำลังคุยกับตัวเองแล้วส่ายหน้า เขาส่ายหน้าให้กับคนคนนี้กี่ครั้งกัน “ฮิบาริ เคียวยะ” ตอบออกมาเสียงนิ่ง ไม่มีการถามกลับอย่างที่ควรจะเป็น แต่ว่าคนฟังก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจมารยาทเหล่านี้สักเท่าไร
“ฮิบาริ...ฮิบาริ เคียวยะเหรอ?” ชื่อคุ้นๆ เหมือนกับว่าเคยได้ยิน ไม่สิ...เรียกว่าชื่อนี้มันเข้าหูเขาบ่อยต่างหาก เข้าหูบ่อยๆ ก็คงจะไม่พ้นจากรั้วโรงเรียน เพราะเจ้านี่คงไม่ดังกระฉ่อนขนาดออกสื่อหรอกน่า...ถ้าโรงเรียน...อื้มม...ฮิบาริ เคียวยะ ...รักษาระเบียบ...เฮ้ย !!!
“ประธานรักษาระเบียบงี่เง่านั่นน่ะเหรอ !?” ตะโกนถามออกมาด้วยความตกใจจนแทบจะปล่อยร่มหลุดจากมือ เมื่อความเงียบคือคำตอบ ร่างเล็กก็ใช้เวลาขณะนั้นประมวลผลคำพูดตัวเองอีกรอบ บางทีปากเขาก็ตรงกับความคิดไปบ้าง
“งี่เง่างั้นเหรอ ? โกคุเดระ ฮายาโตะ...” ตาคมกริบหันมามองคนที่ยืนข้างๆ รวมกับน้ำเสียงเย็นเฉียบพาให้เจ้าของชื่อเสียววาบ แต่ความกลัวก็ต้องเปลี่ยนเป็นสิ่งที่เขารู้สึกมาทั้งวันนั่นก็คือ...ประหลาดใจ เจ้าประธานกฎเกณฑ์งี่เง่านี่รู้จักชื่อของเขาด้วยเหรอ ?
“นายบอกชื่อฉันไปแล้ว” ตอบคำถามที่ไม่ได้ถาม
“ตอนไหนฟระ ? ยังไม่ได้บอก”
ไม่มีคำต่อล้อต่อเถียง มีแต่สายตาที่ส่งมาว่าให้หุบปาก ก็พาให้ความหงุดหงิดปนงุนงงนั้นจุกอยู่ที่ลำคอ เออ...เขาอาจจะบอกชื่อไปแล้วก็ได้มั้ง ตามใจเว้ย !
เสียงฮึดฮัดที่ดังออกมาเบาๆ พาให้ฮิบาริมองร่างเล็กที่ถือร่มอยู่ด้วยสายตาที่ต่างออกไปจากเมื่อครู่ แล้วสายตาก็ต้องแปรเปลี่ยนไปเมื่อถูกดวงตากลมๆ นั้นสบเข้าให้พร้อมกลับเสียงหงุดหงิดที่เจืออยู่กลายๆ
“จะยิ้มทำไม...เอ่อ...”
เป็นอีกครั้งที่โกคุเดระต้องกลืนคำพูดตัวเองลงคอ ในเมื่อใบหน้าเรียบเฉยนั้นก็ยังคงความโมโนโทนอยู่เช่นเดิม ไม่ได้เปลี่ยนไป
แต่ว่าเขารู้สึกจริงๆ นะ...รอยยิ้มของคนที่เดินอยู่ข้างๆ น่ะ
ร่มคันนี้ มันมีไว้สำหรับคนสองคน
ไม่ว่าลมฝนจะพัดกระหน่ำ สักเพียงไหน
ถ้ามีคนเดินไปด้วยกัน ก็คงอุ่นใจ
ไม่ว่าลมฝนจะพัดกระหน่ำ สักเพียงไหน
ถ้ามีคนเดินไปด้วยกัน ก็คงอุ่นใจ
El Fin
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น