S.Fiction 1859 | Soulmate
Title: Soulmate
Couple: 1859 (H.Kyoya x G.Hayato)
Disclaimer: Katekyo Hitman Reborn (c) Amano Akira
Author: Devilz79 / ph1859
"ตื่นได้แล้ว ฮายาโตะ"
เสียงเย็นยะเยียบดังแทรกในความฝันของร่างเล็กที่กำลังนอนอย่างมีความสุขอยู่บนเตียง พาให้เปลือกตาที่กำลังปิดสนิทค่อยๆ เปิดขึ้นรับแสง แต่หากภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าพาให้เจ้าของชื่อเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ
"ไอ้บ้าเอ๊ย! บอกแล้วไงว่าอย่ามาปลุกแบบนี้"
ร่างที่ประชันอยู่ตรงหน้า ในทิศทางตรงกันข้ามเขาที่กำลังนอนอยู่บนที่นอน
ใช่...
ประชันแบบเส้นขนาน ที่ลอยตัวค้างอยู่บนอากาศ ชุดยูคาตะสีกรมท่าห้อยระลงมาตามแรงโน้มถ่วง
ใบหน้าสีเซียว กับดวงตาสีเข้มสนิทที่จ้องมองมาตรงๆ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา หากแต่คนบนเตียงสัมผัสได้ถึงพลังงานความกวนประสาท
โกคุเดระ ฮายาโตะถีบตัวเองให้ลุกขึ้นจากที่นอน ทะลุร่างที่ลอยอยู่เหนือลำตัวขึ้นมานั่งค้างอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าแห่งความเซ็งที่ถูกปลุกขึ้นมาในช่วงเวลาที่เขาไม่ได้ต้องการ
“เจ้าบ้าเอ๊ย ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามาปลุกแบบนี้อีกเนี่ย” ร่างเล็กบ่นกับอีกร่างที่เปลี่ยนโพสิชั่นมานั่งอยู่ข้างๆ แทน หากแต่เมื่อหันกลับไปตวัดสายตาใส่ให้รู้ว่าไม่พอใจ กลับเจอรอยยิ้มประหลาดที่กระตุกอยู่บนมุมปากของอีกฝ่ายแทน
“ก็ปลุกแบบนั้นนายก็บ่น”
เสียงเย็นที่ลงหนักคำว่า ‘แบบนั้น’ พาให้เส้นเลือดบนแก้มของคนตัวขาวขยายตัว และกลายเป็นสีระเรื่อเมื่อภาพในอดีตไม่กี่วันที่ผ่านมามันย้อนกลับมาในความทรงจำ
เขากำลังนอนอยู่บนเตียงในสภาวะที่กำลังสะลึมสะลือ โอเค...จากแสงแดดที่แยงผ่านเปลือกตามา ก็พอจะรู้ล่ะว่าเป็นเวลาเช้า แต่แค่ยังไม่อยากลุกก็เท่านั้นเอง
การไปโรงเรียนมันไม่ได้น่าอภิรมย์มากขนาดนั้น
“ฮายาโตะ…”
เสียงนิ่งเย็นที่มักจะได้ยินทุกเช้าลอยเข้ามาในหูของคนที่ยังหลับตาอยู่ ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เปลือกตานั้นทำท่าจะเปิดขึ้นมาแม้สักเล็กน้อย
หากแต่…
ดวงตากลมสีเขียวเข้มต้องเบิกกว้างขึ้นมาด้วยความตกใจ เมื่อสัมผัสได้ถึงความอุ่นตรงข้ามแก้ม
“เคียวยะ!!!”
โกคุเดระทะลึ่งพรวดขึ้นมาจากเตียง ดวงตายังคงเบิกค้างอยู่ มองไปยังร่างในชุดยูคาตะสีเข้มที่ยืนอยู่ข้างเตียงที่เขาเพิ่งจะลุกขึ้นมา
ความร้อนฉ่าแผ่ไปทั่วใบหน้า
“ใครบอกให้ปลุกแบบนี้วะ!!!” โวยวายเสียงดังด้วยความไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไรอยู่ จะโกรธ หรืออะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้รู้สึกเหมือนเลือดตั้งแต่เท้ามันวิ่งขึ้นมากองบนหัว ความร้อนที่รู้สึกได้แบบนี้ เหมือนมีไฟกำลังลุกอยู่บนหัว
คนที่ถูกโวยวายใส่ไหวไหล่อย่างไม่สนใจอาการหัวร้อนของคนตรงหน้า
“ก็นายบอกว่าไม่ชอบแบบที่ฉันปลุกทุกวันนี่”
นั่นหมายถึงการลอยตัวกลางอากาศเหนือร่างที่กำลังนอนอยู่
“แล้วทำไมไม่ปลุกแบบคนปกติละเฟ่ยยยยย” ระเบิดเสียงใส่ด้วยความไม่เข้าใจร่างตรงหน้า แค่การมาเรียกเขาให้ตื่นแบบวิญญูชนมันยากเย็นอะไร ทำไมต้องใช้ท่ายาก
หากแต่เสียงนิ่งที่ตอบกลับมา พาให้คนฟังกลอกตาบนด้วยความเหนื่อยใจ
“...ก็ฉันใช่คนรึไง”
โกคุเดระ ฮายาโตะ เทข้าวที่มาจากร้านสะดวกซื้อลงในจานกระเบื้องสีขาวสะอาด แล้ววางด้วยช้อนส้อม และแก้วน้ำหนึ่งใบที่มีน้ำบรรจุอยู่ ก่อนจะหยิบทั้งหมดนั้นวางไว้บนถาดไม้ แล้วถือมันไปวางไว้บนตู้เก็บของสีโอ้ค ก่อนจะจุดเทียนที่ตั้งไว้ และดึงธูปในถุงขึ้นมาจุดตาม และปักไว้ในแก้วที่ใส่ทรายสำหรับปัก
“กินข้าว”
เอ่ยขึ้นมากับร่างที่ยืนมองอยู่ข้างๆ
คนตัวเล็กในชุดลำลองสบายตัวเดินไปนั่งบนโต๊ะที่มีอาหารของตนเองวางไว้อยู่แล้ว รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฎขึ้นบนใบหน้า เมื่อภาพที่อยู่ตรงข้ามปรากฎเป็นถาดอาหารที่เขาเพิ่งวางไปบนหลังตู้เมื่อสักครู่
แม้ว่าภาพแบบนี้จะเห็นมานับครั้งไม่ถ้วน แต่เขาก็ยังตื่นตาตื่นใจกับปรากฎการณ์ที่ไม่เป็นปกติแบบนี้อยู่ดี ไม่ว่าจะครั้งแรก หรือครั้งนี้
“ฉันว่านะ ควันเทียนกับธูปต้องเป็นตัวเหนี่ยวนำให้เกิดการควบแน่น โดยมีพลังงานของนายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ที่ทำให้จานกับชามพวกนี้กลายเป็นของที่นายแตะต้องได้” โกคุเดระ ฮายาโตะภายใต้กรอบแว่นสีดำ กับคิ้วที่ขมวดมุ่นจากการใช้ความคิด และภาษาที่ฟังดูไม่น่าจะเข้าใจได้ง่าย เรียกให้คนในชุดโบราณหรี่ตาลงมอง
“พูดอะไรของเจ้า”
“เจ้าเจิ้วอะไรละฟระ ก็บอกแล้วไงว่าถ้ายังอยากอยู่ที่นี่ อยากกินข้าวก็ให้เปลี่ยนมาใช้ภาษาปัจจุบันซะเฟร้ย” ‘เจ้า’ ที่ถูกเรียกโวยวายเสียงดังกับสรรพนามที่ได้ยิน พาให้อีกฝ่ายถอนลมหายใจยาวๆ ออกมาเพื่อรักษาระดับอารมณ์ให้ไม่ไปเผลอฆ่าเสียก่อน
“แล้ว…” เสียงนิ่งของเจ้าของเรือนผมสีดำสนิทเอ่ยออกมา เรียกให้คนที่รับฟังอยู่เงยหน้าขึ้นมาสบตา “แล้วไม่กลัวฉันแล้วหรือไง?” นึกไปถึงสภาพวันแรกที่ได้เจอกัน
ปวดประสาทชะมัด
คนผมเงินหัวเราะแห้ง “ก็ยังคิดจะหาหมอผีมาไล่อยู่ละนะ” พูดออกมาเสียงเบา แต่ก็ยังชัดเจนอยู่ดีสำหรับอีกฝ่าย พาให้สายตาคมกริบตวัดมาจ้องมองจนร่างแทบจะทะลุ “โว้ย...อย่าใช้พลังจิตอะไรแบบนี้สิวะ ขี้โกงนี่หว่า”
ไม่รู้ว่าหากฮิบาริ เคียวยะเป็นคนปกติแล้ว ก็ยังจะมีออร่าของความน่ากลัวที่ฆ่าคนได้อยู่หรือเปล่า แต่ก็ไม่น่าจะแตกต่างกับตอนนี้สักเท่าไร หรือว่ายิ่งกลายเป็นแบบนี้จะยิ่งน่ากลัวเพิ่มขึ้น
“เออๆ มาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันกลัวแล้วนายจะไม่ปรากฏตัวออกมาเหรอ ไม่ทันแล้วมั้ย?” พูดอย่างตัดบทรำคาญ “กินข้าวได้แล้ว” รวบช้อนส้อมในจานขึ้นมาถือไว้ ดวงตาสีเขียวมองจานชามที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยความรู้สึกมวนในช่องท้อง
ฮิบาริ เคียวยะหยิบตะเกียบของตนเองขึ้นมา ไม่สนใจช้อนส้อมที่วางอยู่ในถาด แล้วคีบอาหารหน้าตาแปลกประหลาดในจานตรงหน้าขึ้นมาใส่ปาก
“ห่วย”
เสียงนิ่งพูดออกมา
คนที่กำลังจะกินอาหารถึงกับชะงัก ดวงตาสีเขียวกลอกใส่คนตรงหน้าด้วยความรู้สึกอยากจะพ่นไฟใส่ “รับรสชาติไม่ได้ก็อย่ามาทำเป็นบ่นได้มั้ย! วันหลังก็เดินไปซื้อเองสิวะ” แค่หิ้วมาจากร้านสะดวกซื้อให้กับนับว่าเป็นหนี้บุญคุณแก่ท่านโกคุเดระ ฮายาโตะอย่างเขาแล้วนะเว้ย
คนผมดำคีบคำต่อไปเข้าปาก ท่ามกลางความเงียบของทั้งคู่
เสียงกระทบกันของช้อนส้อม กับอาหารในจานที่หายไป ร่างเล็กยืดเหยียดตัวกับความรู้สึกอิ่มท้องจนอยากจะนอนแผ่ไปกับพื้น แต่ด้วยสายตาของอีกฝ่ายแล้วเขาก็เลือกที่จะนั่งอยู่ที่เดิม หากแต่มากกว่านั้นคืออาหารที่อยู่ในจานของคนตรงหน้าก็หมดไปด้วย
โกคุเดระหันตัวกลับไปมองบนหลังตู้ที่มีถาดไม้สีเข้มวางอยู่
ทว่าอาหารในนั้นยังคงเหมือนเดิม ไม่ได้หายไปไหนแบบภาพที่เห็นอยู่ข้างหน้า
“นี่...ที่อาหารตรงนั้นมันไม่หายไป แสดงว่านายแค่กินภาพเสมือนเข้าไปใช่มั้ย แต่วัตถุจริงที่เป็นสสารก็ยังคงอยู่ในที่เดิมของมัน...อ้าว เฮ้ย ไอ้บ้าเคียวยะ หายไปไหนวะเนี่ย”
ไม่ทันจะพูดได้จบครบถ้วนประโยคที่ต้องการสื่อสาร ร่างที่เคยนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็หายไปเสียดื้อๆ
“หยุดพูดเรื่องที่เข้าใจยากแบบนั้นได้แล้ว ไม่งั้นข้าจะขย้ำเจ้าให้ตาย !”
แม้ตัวจะไม่ปรากกฎออกมา แต่เสียงที่ดังอยู่ข้างใบหู พาลพาให้โกคุเดระ ฮายาโตะขนลุกซู่อย่างช่วยไม่ได้ ไอ้การที่มีแต่เสียงแต่ไม่ปรากฎตัวนี่แค่หนึ่งอาทิตย์มันไม่ใช่เวลาที่จะชินกันง่ายๆ นะเว้ย!
“นายไม่อยากไปเกิดใหม่บ้างเหรอ” โกคุเดระเอ่ยถามร่างที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง อ่านหนังสือหน้าเดียวกับที่เขาอ่านอยู่
“ไม่รู้สิ” คำตอบที่ออกมาไม่ได้ผิดไปจากที่คนตั้งคำถามคาดสักเท่าไร “ที่ตรงนี้มันเป็นที่ของฉันมาตั้งนานแล้ว แล้วนอกจากฉันแล้วก็ไม่เคยมีใครมาอยู่ในนี้ได้สักคน”
คนผมเงินเลิกคิ้วด้วยความสงสัย หรือว่าเจ้าบ้านี่มันไม่นับว่าเขาเป็นคน การที่เขาอาศัยและใช้ชีวิตร่วมกับเจ้าบ้านี่ได้ไม่ได้แปลว่าเขาจะต้องกลายเป็นสสารที่ล่องลอยแบบเจ้านี่นะเฟ้ยยย !
“หยุดคิดเพ้อเจ้อได้แล้ว” ฮิบาริ เคียวยะหรี่ตามองคนที่แสดงความคิดที่ไม่ค่อยจะปกติผ่านสายตาสีเขียวใส
“อ้าว ไหนนายบอกว่าอ่านใจคนไม่ได้ไง” จำได้ว่าที่เคยคุยกัน รู้ว่าเจ้าบ้าเคียวยะนี่ถึงจะเป็นผี แต่ก็อ่านใจคนไม่ออก ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนถึงมีทฤษฎีว่าผีจะต้องอ่านใจคนออก ก็ในเมื่อผีก็เคยเป็นคนมาก่อน เพราะฉะนั้นความสามารถในการอ่านใจ มันไม่น่าจะเปลี่ยนไปตามสถานะของสสารหรอกนะ
ฮิบาริส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ
หากเมื่อย้อนกลับไปคิดถึงคำถามที่ถูกถาม...ตอนนี้ เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะแตกต่างกับการเกิดใหม่สักเท่าไร
โกคุเดระ ฮายาโตะกับกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบ และเป้หนึ่งใบที่สะพายอยู่บนไหล่ ยืนทำหน้าไม่มีความสุขในชีวิต เบื้องหน้าประตูไม้ของบ้านขนาดกลาง สภาพที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นบ้านเก่า เพราะว่ามันเก่ามาก
ร่างเล็กมองแผ่นกระดาษในมือแล้วกระพริบตาถี่ ถึงแม้ว่าจะแอบเอะใจว่าทำไมบ้านขนาดเท่านี้ในเมืองนามิโมริถึงให้เช่าในราคาถูกขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าสภาพมันจะแตกต่างจากภาพถ่ายในเว็บไซต์มากขนาดนี้มาก่อน
...นี่มันหน้าตาเหมือนบ้านผีสิงชัดๆ ยังไม่นับรวมระยะทางที่ห่างไกลจากบ้านของคนปกติทั่วไปอีกนะ แต่ช่างมันเถอะ เขาเพิ่งบินข้ามทวีปมา ตอนนี้ขอแค่เอาของทุกอย่างไปไว้แล้วออกไปหาอะไรใส่กระเพาะให้มันหายหิวเสียก่อน
คนผมเงินเสียบกุญแจที่ได้มาเข้าไปในแม่กุญแจที่ดูจะเก่าและสนิท เสียงเอี๊ยดของบานพับที่ลั่นดังราวกับว่าไม่มีใครมาอยู่นานมาก แต่หากไม่มีใยแมงมุม หรือฝุ่นเกาะแม้แต่นิดเดียว
กระเป๋าเดินทางใบโตถูกลากเข้าผ่านประตูไม้สีเข้ม ภายในบ้านเป็นห้องที่ถูกแบ่งอย่างเรียบง่ายและปูด้วยเสื่อทาทามิที่แม้จะดูโบราณ แต่ก็เหมือนว่าถูกใช้งานทุกวัน ผู้เริ่มอยู่อาศัยขมวดคิ้วน้อยๆ ด้วยความรู้สึกหวิวในใจ ทำไมบ้านหลังนี้ถึงดูขัดแย้งกันไปหมด
โกคุเดระวางกระเป๋าไว้ที่มุมหนึ่งของห้อง ก่อนจะค่อยๆ เดินสำรวจบริเวณที่พักอาศัยของตนเอง เพื่อจะพบว่าบรรยากาศจริงกับในรูปนั้นแตกต่างกันสิ้นเชิง จากในภาพที่ทางเจ้าของบ้านโพสเอาไว้ในอินเตอร์เน็ตนั้น ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเป็นบ้านที่โบราณ แต่สภาพของจริงกลับเป็นบ้านโบราณที่ดูเก่าแก่มาก ซึ่งตามปกติแล้วบ้านโบราณแบบนี้ค่าเช่ามันควรจะสูงลิ่ว แต่นี่กลับถูกเสียจนเด็กที่หนีออกจากบ้านอย่างเขาสามารถเช่าได้
หรือว่าเจ้าของบ้านจะเป็นพวกมิจฉาชีพหลอกมาฆ่านะ
อากาศเย็นที่ไหลเข้ามาในบ้าน พาให้ขนบนแขนของคนที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีซีดคลุมเอาไว้ลุกซู่ มือลูบขนแขนให้มันราบลง แต่อากาศที่เย็นก็พาให้รู้สึกหนาวไปถึงสันหลัง
“เออน่า ไม่มีอะไรหรอกน่า” แค่รู้สึกว่าอยากให้มันมีการสนทนาเกิดขึ้นในความเงียบแบบนี้ ร่างเล็กพูดขึ้นมาคนเดียวแล้วหัวเราะแห้ง
ปลายเท้าก้าวกลับหลังหันเพื่อออกไปสำรวจห้องอื่นที่ติดกัน หากแต่…
“เฮ้ย!!”
ร่างของเด็กหนุ่มผมดำ ดวงตาสีดำสนิทที่ไร้แววเป็นประกาย ภายใต้ชุดยูคาตะทีเข้มที่ดูซีดและเก่าที่ปรากฎเบื้องหน้า
“แกเป็นใครวะ?” ทำปากกล้าถามคนที่ปรากฎตัวอย่างไร้เสียง ไร้ร่องรอย แต่หัวใจกลับเต้นระรัวด้วยความตกใจ
ไม่มีการตอบคำถามจากร่างที่ดูเย็นยะเยือก
“เฮ้ย ฉันถามว่าแกเป็นใคร เข้ามาในบ้านนี้ได้ยังไง” ทำเสียงเข้มให้ข่มอาการกลัวของตัวเอง แม้จะไม่ได้อยากนึกถึง แต่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าร่างนี้กับบ้านนี้เป็นสิ่งสิ่งเดียวกัน เหมือนหลุดออกมาจากยุคเดียวกันเกินไป “คิดจะกวนประสาทกันหรือไงวะ”
มือขาวกำหมัดก่อนจะยกขึ้นและชกออกไป เป้าหมายคือกรามของอีกฝ่าย
ทว่า...ลำตัวที่ไถลวืดไปตามแรงชก ที่มันไม่ถูกสะกัดกั้นด้วยร่างของเป้าหมาย ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายหลบได้ แต่มือของเขา...ทะลุผ่านใบหน้าของร่างตรงหน้าไปเสียอย่างนั้น
ชิบ…
เปลือกตาที่ถูกแสงอาทิตย์ยามบ่ายสาดส่องค่อยกระพริบและเปิดออกมา เส้นของฝุ่นที่เห็นผ่านแสงที่ลอดทางหน้าต่าง พาให้คนที่นอนอยู่กลับไปตั้งสติเพื่อระลึกว่าตัวเองตอนนี้อยู่ที่ไหน
ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงเพิ่งลืมตา
เหมือนว่าความทรงจำบางช่วงมันหายไป
“ตื่นแล้วเหรอ” เสียงเย็นนิ่งเหมือนน้ำแข็งพาให้คนผมเงินผงกหัวขึ้นและหันไปตามเสียงนั้น
ร่างในชุดยูคาตะสีเข้มแต่หม่น เรียกความทรงที่ไม่น่าจำเท่าไรกลับมาในหัวของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
“กะ...แก….” เสียงที่เคยกล้าของโกคุเดระ ฮายาโตะกลับสั่นโดยที่ไม่สามารถควบคุมได้ “โย ริน เบียว ฉะ…” บทสวดมนต์ไม่เป็นภาษาถูกท่องออกมา พร้อมมือหนึ่งข้างที่โบกสะบัด ด้วยความเชื่อของตัวเองว่าจะไล่อีกร่างให้หายไปได้
หากแต่…
“ทำบ้าอะไรของเจ้า”
โกคุเดระ ฮายาโตะรู้สึกอยากจะยกมือขึ้นต่อยหน้าตัวเองให้สลบไปอีกรอบ
“แล้วนายล่ะ” คำถามที่ย้อนกลับมาจากฮิบาริ เคียวยะ เรียกให้คนผมเงินที่กำลังจะก้มหน้าอ่านหนังสือต่อเงยหน้าขึ้นมามอง กับเรียวคิ้วที่ขมวดมุ่น
ท่าทางจะคิดอะไรไม่เข้าท่าอีกแล้ว
“หมายถึงว่าฉันไม่อยากเกิดใหม่บ้างน่ะเหรอ...ไอ้บ้าเฟร้ยยยย ฉันจะเป็นคนนะเว้ย เป็นมนุษย์ที่มีสถานะเป็นของแข็ง ฉันยังไม่ตาย ยังไม่ต้องเกิดใหม่เว้ย!” โวยวายออกมาเสียงดัง ไอ้บ้านี่มันยึดถือว่าเขากลายเป็นวิญญาณเหมือนกับตัวเองไปแล้วแน่นอน
ฮิบาริ เคียวยะ แม้ไม่มีลมหายใจ แต่ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ด้วยความรู้สึกลึกๆ ว่าอยากส่งไอ้บ้าขี้โวยวายตรงหน้าให้ไปเกิดใหม่เป็นดาวลูกไก่เสียจริงๆ
“แล้วอยากเกิดใหม่มั้ยล่ะ” เสียงเย็นเฉียดที่สัมผัสได้ว่าคนพูดกำลังกัดฟันกรอดด้วยภาวะข่มอารมณ์ในขั้นสูงสุด พาให้โกคุเดระ ฮายาโตะค่อยๆ รวบรวมสติตัวเองขึ้นมาได้ “ฉันหมายถึงว่านายไม่อยากเปลี่ยนที่อยู่หรือไง”
คนผมเงินที่เข้าใจคำถามของอีกฝ่าย (เสียที) พยักหน้าเบาๆ เชิงรับรู้คำถามของอีกฝ่าย
“ก็ไม่นี่ อยู่ที่น่าค่าเช่าถูกจะตาย ไม่งั้นฉันคงอดตาย แถมต้องซื้อข้าวมาเลี้ยงสสารที่เดี๋ยวก็เปลี่ยนรูปไป เปลี่ยนรูปมาอย่างนายอีก ถ้าค่าเช่าไม่ถูกขนาดนี้ ฉันจะให้นายเป็นผีไม่มีข้าวกิน” เพราะว่าเป็นบ้านผี (ที่เจ้าบ้าเคียวยะ) สิง ก็ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมค่าเช่าถึงถูกแสนถูก ถูกจนเรียกว่าแทบอยู่ฟรีอยู่แล้ว
“ถ้าค่าเช่าไม่ถูกขนาดนี้ นายก็ยังจะอยู่ที่นี่เหรอ”
โกคุเดระหรี่ตามองคนที่สวนคำถามกลับมา “นายจะไปเข้าฝันเจ้าของบ้านให้ขึ้นค่าเช่าเหรอ” ถ้าไอ้บ้านี่ทำ เขาจะยอมควักเงินไปจ้างพระมาทำพิธีปัดมันออกจากบ้าน
“ประสาท”
“อ้าว ไอ้บ้าเคียวยะ อย่าหายไปอย่างงี้สิเว้ยยยยย!!!! ห้ามเด็ดขาดเลยนะ ไม่งั้นฉันจะฆ่านาย” โวยวายเมื่อร่างในชุดยูคาตะอยู่ๆ ก็หายวับไปจนตัวที่พิงอยู่ถึงกับวืดกลางอากาศ
“...ฉันตายไปแล้ว”
เสียงเย็นดังขึ้นในโสตประสาทของคนที่นั่งเคว้งอยู่กลางห้องญี่ปุ่นโบราณ
ฮิบาริ เคียวยะที่มีสถานะเป็นอดีตมนุษย์ นั่งมองหน้ามนุษย์ผิวขาว หน้าตาไม่เหมือนคนญี่ปุ่นเท่าไรนัก ที่กำลังทำหน้าตาเหมือนจะหัวเสีย แต่ก็มีความสั่นประสาทอยู่
แปลก
ตั้งแต่ที่เขามีความทรงจำกับการเป็นวิญญาณแบบนี้ ไม่ว่ามนุษย์คนไหนที่บังเอิญหรือตั้งใจเข้ามาที่นี่ ก็ไม่มีใครสามารถอดทนอยู่ได้เกินกว่าหนึ่งนาที แค่ถูกร่างที่เขาไม่ได้ปรากฎให้เห็นจ้อง คนพวกนั้นก็คล้ายจะเสียสติไปแล้ว
แต่กับคนนี้...
“โอเค ฉันจะทำบุญไปให้นาย หรือนายจะให้พระมาทำพิธีส่งนายไปสู่สวรรค์ฉันก็ทำให้ได้นะ แต่เราอย่ามายุ่งกันได้มั้ย” โกคุเดระ ฮายาโตะที่กำลังสงบสติอารมณ์พยายามใช้การทูตในการเจรจากับร่างที่อยู่ตรงหน้า
“ไม่”
ฮิบาริปฏิเสธ
“ไอ้บ้าเอ๊ย! ฉันจะไปจ้างพระมาไล่นาย” ทำไมวะ ผีก็ผีเถอะ ทำไมจะพูดดีๆ กันแล้วไม่รู้เรื่อง จะไปต่อยมันก็ต่อยไม่ได้ หรือเขาจะเผาบ้านหลังนี้ทิ้งและสวดส่งไปพร้อมควันไฟเลยดี
“เจ้าทำแบบนั้นไม่ได้หรอก” เสียงนิ่งเหมือนกับว่ารู้ทุกอย่างพาให้โกคุเดระรู้สึกอยากจะเดินเข้าไปต่อย แม้ว่าจะต่อยไม่โดนก็เถอะ “เจ้าไม่มีเงิน”
ประโยคถัดมาพาให้คนที่อารมณ์ร้อนถึงกับเย็นชาเข้าไปในหัวใจ
“นายอ่านใจคนได้หรือไง”
“หน้าเจ้าฟ้องทุกอย่าง”
โกคุเดระขมวดคิ้วยุ่ง หน้าเขามันฟ้องว่าเขาไม่มีเงินมากขนาดนั้นเลยหรือไง หน้าตาแบบนี้คือจนมาก กับการบินข้ามประเทศมาด้วยสายการบินซุปเปอร์โลวคอสที่กินเวลาการพักผ่อนของเขา มันทำให้แม้แต่วิญญาณที่ดูโบราณขนาดนี้มองออกว่าเขาไม่มีเงิน
“ข้าจะให้เจ้าอยู่ที่นี่”
คนที่ได้รับการอนุญาตเบิกตากว้าง “ฉันสิต้องเป็นฝ่ายอนุญาต ฉันจ่ายเงินค่าเช่านะเว้ย และฉันก็ไม่อนุญาตให้นายอยู่ที่นี่” เงินแต่ละเยนที่ต้องจ่ายไปนั่นจะมาจากน้ำพักน้ำแรงในการทำงานพิเศษของเขาเชียวนะ เพราะฉะนั้นค่าเช่าที่ถูกแสนถูกเลยเป็นจุดล่อใจให้เขากดจองบ้านนี้ไปในเว็บไซต์
เขาจะไปรีวิวว่าที่นี่มีผี !
“โอ๊ย...” คนตัวเล็กร้องเสียงดังเมื่อรู้สึกว่าเจ็บแปลบตรงหัวใจขึ้นมา เมื่อหันขึ้นไปมองพบกับสายตาคมกริบที่จ้องกลับมา “ไอ้บ้า อย่ามาขี้โกงใช้พลังจิตนะเว้ย” ทำไมมนุษย์ถึงต่อยผีไม่ได้
“ข้าจะไม่ไปไหน เจ้าก็เหมือนกัน”
“ฉันจะไม่อยู่ที่นี่”
“เจ้าไม่มีเงิน”
โกคุเดระ ฮายาโตะ นักเรียนต่างชาติที่บินข้ามมหาสุมทรมาอยู่ในประเทศญี่ปุ่น รู้สึกอยากจะจุดไฟเผาทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าและรอบๆ ตัว อะไรก็ได้ที่จะทำให้เจ้าวิญญาณบ้านี่หายไป
ใช่...เขาไม่มีเงิน
บ้าเอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย !!
“เรียกข้าว่าเคียวยะ” เจ้าของดวงตาสีดำสนิทเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน เมื่อความเงียบสงบปกคลุมพร้อมกับอาการขัดอกขัดใจแต่นิ่งเงียบของคนผมเงิน
“ฟังดูเหมือนจะเป็นชื่อต้น” คู่สนทนาพึมพำออกมา แม้เขาจะไม่ใช่คนญี่ปุ่น 100% แต่เขาพอจะสัมผัสได้ว่าเหมือนจะเป็นชื่อต้นมากกว่าชื่อสกุล แต่คนญี่ปุ่นก็ไม่เรียกกันด้วยชื่ต้น ถ้าไม่ได้สนิทกัน
“ใช่”
“ฉันไม่ได้อยากจะสนิทกับนายนะเฟร้ย” บ้าชัดๆ เขาไม่ได้อยากจะผูกมิตรกับวิญญาณเลยแม้แต่น้อย มันไม่อยู่ในแม้แต่เศษเสี้ยวของความคิดนับตั้งแต่เขาจำความได้ สัตว์ประหลาดนอกโลกนั่นคืออีกเรื่อง แต่วิญญาณมันก็คืออีกเรื่องไม่ใช่หรือไง
ฮิบาริหรี่ตาลง แต่กลับถูกดวงตากลมตวัดใส่อย่างรู้ทัน
“อย่ามาเล่นมุกพลังโรคจิตบ้าบอของนายเชียวนะเว้ย ฉันต่อยนายไม่ได้ แต่ฉันจะสาปแช่งนายไปจนตาย” พูดออกมาเร็วปรื๋อ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะใช้สายตาทิ่มแทง ที่มันทำให้เขารู้สึกเจ็บจริงๆ
ร่างผมดำปิดเปลือกตาแล้วกระตุกยิ้มบนริมฝีปาก “เจ้าเป็นคนแรกที่ไม่เป็นอะไร ฮายาโตะ”
“เอ๋ ? ฉันไม่เคยบอกชื่อให้นายรู้นะ แล้วก็อย่ามาเรียกด้วยชื่อต้นแบบนั้นสิ” แม้จะงงๆ กับประโยคบอกเล่าที่ได้ยิน อะไรคือการไม่เป็นอะไร ไอ้สายตาทิ่มแทงน่ะมันก็เจ็บจริง แต่มันจะคันๆ แบบน่ารำคาญมากกว่า แต่ว่าไอ้บ้านี่มันรู้ชื่อของเขาได้ไง
“ข้าเห็นในหนังสือเล่มเล็กๆ ของเจ้า”
โกคุเดระหันไปมองตามสายตาสีดำไปมองไปด้านหลัง พาสปอร์ตของเขาที่เปิดหน้าแรกเอาไว้ เจ้านี่เป็นวิญญาณในยุคไหนกันนะ ทำไมอ่านภาษาอังกฤษออกด้วย
“นายตายเมื่อไร” เอ่ยถามออกไปด้วยความอยากรู้ “โอ๊ยยย...ไอ้บ้าเคียวยะ!” แล้วก็ถูกสายตาพิฆาตตวัดมองพาให้คนตัวเล็กเม้มปากด้วยความหงุดหงิด
“ถ้าจะอยู่ด้วยกันก็อย่ามาใช้พลังโรคจิตสิฟระ!!”
“ได้ อยู่ด้วยกัน เจ้ายอมรับแล้วนะ”
โกคุเดระ ฮายาโตะนั่งพิงหลังอยู่กับรั้วของเฉลียงหลังเรือนโบราณ คำถามที่ได้ยินจากฮิบาริกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง เขาจำไม่ได้แล้วว่าเช่าบ้านหลังนี้อยู่มานานแค่ไหนแล้ว พอๆ กับที่ไม่แน่ใจว่าความคิดที่จะย้ายออกจากบ้านหลังนี้มันหายไปเมื่อไร
แทบไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะไม่อยู่ที่นี่
ไม่มีเลย
ฮิบาริ เคียวยะปรากฎร่างเลือนลางอยู่ใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ข้างรั้วบ้าน มันนานมากแล้วที่เขาเคยชินกับการไม่มีใครมองเห็น หรือใครก็ตามที่มองเห็นก็ไม่สามารถอยู่กับเขาได้
นั่นมันเป็นเรื่องดี เขาไม่ชอบการสุมหัว
เขาอยู่ที่นี่ ที่เรือนโบราณหลังนี้มานาน นานเกินไปกว่าจะกลับมาย้อนคิดเรื่องไปเกิดใหม่ได้ และ...ก็ไม่มีเหตุผลที่ดีที่เขาควรจะไปเกิดใหม่
ไม่มีเลย
Couple: 1859 (H.Kyoya x G.Hayato)
Disclaimer: Katekyo Hitman Reborn (c) Amano Akira
Author: Devilz79 / ph1859
"ตื่นได้แล้ว ฮายาโตะ"
เสียงเย็นยะเยียบดังแทรกในความฝันของร่างเล็กที่กำลังนอนอย่างมีความสุขอยู่บนเตียง พาให้เปลือกตาที่กำลังปิดสนิทค่อยๆ เปิดขึ้นรับแสง แต่หากภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าพาให้เจ้าของชื่อเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ
"ไอ้บ้าเอ๊ย! บอกแล้วไงว่าอย่ามาปลุกแบบนี้"
ร่างที่ประชันอยู่ตรงหน้า ในทิศทางตรงกันข้ามเขาที่กำลังนอนอยู่บนที่นอน
ใช่...
ประชันแบบเส้นขนาน ที่ลอยตัวค้างอยู่บนอากาศ ชุดยูคาตะสีกรมท่าห้อยระลงมาตามแรงโน้มถ่วง
ใบหน้าสีเซียว กับดวงตาสีเข้มสนิทที่จ้องมองมาตรงๆ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา หากแต่คนบนเตียงสัมผัสได้ถึงพลังงานความกวนประสาท
โกคุเดระ ฮายาโตะถีบตัวเองให้ลุกขึ้นจากที่นอน ทะลุร่างที่ลอยอยู่เหนือลำตัวขึ้นมานั่งค้างอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าแห่งความเซ็งที่ถูกปลุกขึ้นมาในช่วงเวลาที่เขาไม่ได้ต้องการ
“เจ้าบ้าเอ๊ย ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามาปลุกแบบนี้อีกเนี่ย” ร่างเล็กบ่นกับอีกร่างที่เปลี่ยนโพสิชั่นมานั่งอยู่ข้างๆ แทน หากแต่เมื่อหันกลับไปตวัดสายตาใส่ให้รู้ว่าไม่พอใจ กลับเจอรอยยิ้มประหลาดที่กระตุกอยู่บนมุมปากของอีกฝ่ายแทน
“ก็ปลุกแบบนั้นนายก็บ่น”
เสียงเย็นที่ลงหนักคำว่า ‘แบบนั้น’ พาให้เส้นเลือดบนแก้มของคนตัวขาวขยายตัว และกลายเป็นสีระเรื่อเมื่อภาพในอดีตไม่กี่วันที่ผ่านมามันย้อนกลับมาในความทรงจำ
เขากำลังนอนอยู่บนเตียงในสภาวะที่กำลังสะลึมสะลือ โอเค...จากแสงแดดที่แยงผ่านเปลือกตามา ก็พอจะรู้ล่ะว่าเป็นเวลาเช้า แต่แค่ยังไม่อยากลุกก็เท่านั้นเอง
การไปโรงเรียนมันไม่ได้น่าอภิรมย์มากขนาดนั้น
“ฮายาโตะ…”
เสียงนิ่งเย็นที่มักจะได้ยินทุกเช้าลอยเข้ามาในหูของคนที่ยังหลับตาอยู่ ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เปลือกตานั้นทำท่าจะเปิดขึ้นมาแม้สักเล็กน้อย
หากแต่…
ดวงตากลมสีเขียวเข้มต้องเบิกกว้างขึ้นมาด้วยความตกใจ เมื่อสัมผัสได้ถึงความอุ่นตรงข้ามแก้ม
“เคียวยะ!!!”
โกคุเดระทะลึ่งพรวดขึ้นมาจากเตียง ดวงตายังคงเบิกค้างอยู่ มองไปยังร่างในชุดยูคาตะสีเข้มที่ยืนอยู่ข้างเตียงที่เขาเพิ่งจะลุกขึ้นมา
ความร้อนฉ่าแผ่ไปทั่วใบหน้า
“ใครบอกให้ปลุกแบบนี้วะ!!!” โวยวายเสียงดังด้วยความไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไรอยู่ จะโกรธ หรืออะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้รู้สึกเหมือนเลือดตั้งแต่เท้ามันวิ่งขึ้นมากองบนหัว ความร้อนที่รู้สึกได้แบบนี้ เหมือนมีไฟกำลังลุกอยู่บนหัว
คนที่ถูกโวยวายใส่ไหวไหล่อย่างไม่สนใจอาการหัวร้อนของคนตรงหน้า
“ก็นายบอกว่าไม่ชอบแบบที่ฉันปลุกทุกวันนี่”
นั่นหมายถึงการลอยตัวกลางอากาศเหนือร่างที่กำลังนอนอยู่
“แล้วทำไมไม่ปลุกแบบคนปกติละเฟ่ยยยยย” ระเบิดเสียงใส่ด้วยความไม่เข้าใจร่างตรงหน้า แค่การมาเรียกเขาให้ตื่นแบบวิญญูชนมันยากเย็นอะไร ทำไมต้องใช้ท่ายาก
หากแต่เสียงนิ่งที่ตอบกลับมา พาให้คนฟังกลอกตาบนด้วยความเหนื่อยใจ
“...ก็ฉันใช่คนรึไง”
โกคุเดระ ฮายาโตะ เทข้าวที่มาจากร้านสะดวกซื้อลงในจานกระเบื้องสีขาวสะอาด แล้ววางด้วยช้อนส้อม และแก้วน้ำหนึ่งใบที่มีน้ำบรรจุอยู่ ก่อนจะหยิบทั้งหมดนั้นวางไว้บนถาดไม้ แล้วถือมันไปวางไว้บนตู้เก็บของสีโอ้ค ก่อนจะจุดเทียนที่ตั้งไว้ และดึงธูปในถุงขึ้นมาจุดตาม และปักไว้ในแก้วที่ใส่ทรายสำหรับปัก
“กินข้าว”
เอ่ยขึ้นมากับร่างที่ยืนมองอยู่ข้างๆ
คนตัวเล็กในชุดลำลองสบายตัวเดินไปนั่งบนโต๊ะที่มีอาหารของตนเองวางไว้อยู่แล้ว รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฎขึ้นบนใบหน้า เมื่อภาพที่อยู่ตรงข้ามปรากฎเป็นถาดอาหารที่เขาเพิ่งวางไปบนหลังตู้เมื่อสักครู่
แม้ว่าภาพแบบนี้จะเห็นมานับครั้งไม่ถ้วน แต่เขาก็ยังตื่นตาตื่นใจกับปรากฎการณ์ที่ไม่เป็นปกติแบบนี้อยู่ดี ไม่ว่าจะครั้งแรก หรือครั้งนี้
“ฉันว่านะ ควันเทียนกับธูปต้องเป็นตัวเหนี่ยวนำให้เกิดการควบแน่น โดยมีพลังงานของนายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ที่ทำให้จานกับชามพวกนี้กลายเป็นของที่นายแตะต้องได้” โกคุเดระ ฮายาโตะภายใต้กรอบแว่นสีดำ กับคิ้วที่ขมวดมุ่นจากการใช้ความคิด และภาษาที่ฟังดูไม่น่าจะเข้าใจได้ง่าย เรียกให้คนในชุดโบราณหรี่ตาลงมอง
“พูดอะไรของเจ้า”
“เจ้าเจิ้วอะไรละฟระ ก็บอกแล้วไงว่าถ้ายังอยากอยู่ที่นี่ อยากกินข้าวก็ให้เปลี่ยนมาใช้ภาษาปัจจุบันซะเฟร้ย” ‘เจ้า’ ที่ถูกเรียกโวยวายเสียงดังกับสรรพนามที่ได้ยิน พาให้อีกฝ่ายถอนลมหายใจยาวๆ ออกมาเพื่อรักษาระดับอารมณ์ให้ไม่ไปเผลอฆ่าเสียก่อน
“แล้ว…” เสียงนิ่งของเจ้าของเรือนผมสีดำสนิทเอ่ยออกมา เรียกให้คนที่รับฟังอยู่เงยหน้าขึ้นมาสบตา “แล้วไม่กลัวฉันแล้วหรือไง?” นึกไปถึงสภาพวันแรกที่ได้เจอกัน
ปวดประสาทชะมัด
คนผมเงินหัวเราะแห้ง “ก็ยังคิดจะหาหมอผีมาไล่อยู่ละนะ” พูดออกมาเสียงเบา แต่ก็ยังชัดเจนอยู่ดีสำหรับอีกฝ่าย พาให้สายตาคมกริบตวัดมาจ้องมองจนร่างแทบจะทะลุ “โว้ย...อย่าใช้พลังจิตอะไรแบบนี้สิวะ ขี้โกงนี่หว่า”
ไม่รู้ว่าหากฮิบาริ เคียวยะเป็นคนปกติแล้ว ก็ยังจะมีออร่าของความน่ากลัวที่ฆ่าคนได้อยู่หรือเปล่า แต่ก็ไม่น่าจะแตกต่างกับตอนนี้สักเท่าไร หรือว่ายิ่งกลายเป็นแบบนี้จะยิ่งน่ากลัวเพิ่มขึ้น
“เออๆ มาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันกลัวแล้วนายจะไม่ปรากฏตัวออกมาเหรอ ไม่ทันแล้วมั้ย?” พูดอย่างตัดบทรำคาญ “กินข้าวได้แล้ว” รวบช้อนส้อมในจานขึ้นมาถือไว้ ดวงตาสีเขียวมองจานชามที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยความรู้สึกมวนในช่องท้อง
ฮิบาริ เคียวยะหยิบตะเกียบของตนเองขึ้นมา ไม่สนใจช้อนส้อมที่วางอยู่ในถาด แล้วคีบอาหารหน้าตาแปลกประหลาดในจานตรงหน้าขึ้นมาใส่ปาก
“ห่วย”
เสียงนิ่งพูดออกมา
คนที่กำลังจะกินอาหารถึงกับชะงัก ดวงตาสีเขียวกลอกใส่คนตรงหน้าด้วยความรู้สึกอยากจะพ่นไฟใส่ “รับรสชาติไม่ได้ก็อย่ามาทำเป็นบ่นได้มั้ย! วันหลังก็เดินไปซื้อเองสิวะ” แค่หิ้วมาจากร้านสะดวกซื้อให้กับนับว่าเป็นหนี้บุญคุณแก่ท่านโกคุเดระ ฮายาโตะอย่างเขาแล้วนะเว้ย
คนผมดำคีบคำต่อไปเข้าปาก ท่ามกลางความเงียบของทั้งคู่
เสียงกระทบกันของช้อนส้อม กับอาหารในจานที่หายไป ร่างเล็กยืดเหยียดตัวกับความรู้สึกอิ่มท้องจนอยากจะนอนแผ่ไปกับพื้น แต่ด้วยสายตาของอีกฝ่ายแล้วเขาก็เลือกที่จะนั่งอยู่ที่เดิม หากแต่มากกว่านั้นคืออาหารที่อยู่ในจานของคนตรงหน้าก็หมดไปด้วย
โกคุเดระหันตัวกลับไปมองบนหลังตู้ที่มีถาดไม้สีเข้มวางอยู่
ทว่าอาหารในนั้นยังคงเหมือนเดิม ไม่ได้หายไปไหนแบบภาพที่เห็นอยู่ข้างหน้า
“นี่...ที่อาหารตรงนั้นมันไม่หายไป แสดงว่านายแค่กินภาพเสมือนเข้าไปใช่มั้ย แต่วัตถุจริงที่เป็นสสารก็ยังคงอยู่ในที่เดิมของมัน...อ้าว เฮ้ย ไอ้บ้าเคียวยะ หายไปไหนวะเนี่ย”
ไม่ทันจะพูดได้จบครบถ้วนประโยคที่ต้องการสื่อสาร ร่างที่เคยนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็หายไปเสียดื้อๆ
“หยุดพูดเรื่องที่เข้าใจยากแบบนั้นได้แล้ว ไม่งั้นข้าจะขย้ำเจ้าให้ตาย !”
แม้ตัวจะไม่ปรากกฎออกมา แต่เสียงที่ดังอยู่ข้างใบหู พาลพาให้โกคุเดระ ฮายาโตะขนลุกซู่อย่างช่วยไม่ได้ ไอ้การที่มีแต่เสียงแต่ไม่ปรากฎตัวนี่แค่หนึ่งอาทิตย์มันไม่ใช่เวลาที่จะชินกันง่ายๆ นะเว้ย!
“นายไม่อยากไปเกิดใหม่บ้างเหรอ” โกคุเดระเอ่ยถามร่างที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง อ่านหนังสือหน้าเดียวกับที่เขาอ่านอยู่
“ไม่รู้สิ” คำตอบที่ออกมาไม่ได้ผิดไปจากที่คนตั้งคำถามคาดสักเท่าไร “ที่ตรงนี้มันเป็นที่ของฉันมาตั้งนานแล้ว แล้วนอกจากฉันแล้วก็ไม่เคยมีใครมาอยู่ในนี้ได้สักคน”
คนผมเงินเลิกคิ้วด้วยความสงสัย หรือว่าเจ้าบ้านี่มันไม่นับว่าเขาเป็นคน การที่เขาอาศัยและใช้ชีวิตร่วมกับเจ้าบ้านี่ได้ไม่ได้แปลว่าเขาจะต้องกลายเป็นสสารที่ล่องลอยแบบเจ้านี่นะเฟ้ยยย !
“หยุดคิดเพ้อเจ้อได้แล้ว” ฮิบาริ เคียวยะหรี่ตามองคนที่แสดงความคิดที่ไม่ค่อยจะปกติผ่านสายตาสีเขียวใส
“อ้าว ไหนนายบอกว่าอ่านใจคนไม่ได้ไง” จำได้ว่าที่เคยคุยกัน รู้ว่าเจ้าบ้าเคียวยะนี่ถึงจะเป็นผี แต่ก็อ่านใจคนไม่ออก ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนถึงมีทฤษฎีว่าผีจะต้องอ่านใจคนออก ก็ในเมื่อผีก็เคยเป็นคนมาก่อน เพราะฉะนั้นความสามารถในการอ่านใจ มันไม่น่าจะเปลี่ยนไปตามสถานะของสสารหรอกนะ
ฮิบาริส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ
หากเมื่อย้อนกลับไปคิดถึงคำถามที่ถูกถาม...ตอนนี้ เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะแตกต่างกับการเกิดใหม่สักเท่าไร
โกคุเดระ ฮายาโตะกับกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบ และเป้หนึ่งใบที่สะพายอยู่บนไหล่ ยืนทำหน้าไม่มีความสุขในชีวิต เบื้องหน้าประตูไม้ของบ้านขนาดกลาง สภาพที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นบ้านเก่า เพราะว่ามันเก่ามาก
ร่างเล็กมองแผ่นกระดาษในมือแล้วกระพริบตาถี่ ถึงแม้ว่าจะแอบเอะใจว่าทำไมบ้านขนาดเท่านี้ในเมืองนามิโมริถึงให้เช่าในราคาถูกขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าสภาพมันจะแตกต่างจากภาพถ่ายในเว็บไซต์มากขนาดนี้มาก่อน
...นี่มันหน้าตาเหมือนบ้านผีสิงชัดๆ ยังไม่นับรวมระยะทางที่ห่างไกลจากบ้านของคนปกติทั่วไปอีกนะ แต่ช่างมันเถอะ เขาเพิ่งบินข้ามทวีปมา ตอนนี้ขอแค่เอาของทุกอย่างไปไว้แล้วออกไปหาอะไรใส่กระเพาะให้มันหายหิวเสียก่อน
คนผมเงินเสียบกุญแจที่ได้มาเข้าไปในแม่กุญแจที่ดูจะเก่าและสนิท เสียงเอี๊ยดของบานพับที่ลั่นดังราวกับว่าไม่มีใครมาอยู่นานมาก แต่หากไม่มีใยแมงมุม หรือฝุ่นเกาะแม้แต่นิดเดียว
กระเป๋าเดินทางใบโตถูกลากเข้าผ่านประตูไม้สีเข้ม ภายในบ้านเป็นห้องที่ถูกแบ่งอย่างเรียบง่ายและปูด้วยเสื่อทาทามิที่แม้จะดูโบราณ แต่ก็เหมือนว่าถูกใช้งานทุกวัน ผู้เริ่มอยู่อาศัยขมวดคิ้วน้อยๆ ด้วยความรู้สึกหวิวในใจ ทำไมบ้านหลังนี้ถึงดูขัดแย้งกันไปหมด
โกคุเดระวางกระเป๋าไว้ที่มุมหนึ่งของห้อง ก่อนจะค่อยๆ เดินสำรวจบริเวณที่พักอาศัยของตนเอง เพื่อจะพบว่าบรรยากาศจริงกับในรูปนั้นแตกต่างกันสิ้นเชิง จากในภาพที่ทางเจ้าของบ้านโพสเอาไว้ในอินเตอร์เน็ตนั้น ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเป็นบ้านที่โบราณ แต่สภาพของจริงกลับเป็นบ้านโบราณที่ดูเก่าแก่มาก ซึ่งตามปกติแล้วบ้านโบราณแบบนี้ค่าเช่ามันควรจะสูงลิ่ว แต่นี่กลับถูกเสียจนเด็กที่หนีออกจากบ้านอย่างเขาสามารถเช่าได้
หรือว่าเจ้าของบ้านจะเป็นพวกมิจฉาชีพหลอกมาฆ่านะ
อากาศเย็นที่ไหลเข้ามาในบ้าน พาให้ขนบนแขนของคนที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีซีดคลุมเอาไว้ลุกซู่ มือลูบขนแขนให้มันราบลง แต่อากาศที่เย็นก็พาให้รู้สึกหนาวไปถึงสันหลัง
“เออน่า ไม่มีอะไรหรอกน่า” แค่รู้สึกว่าอยากให้มันมีการสนทนาเกิดขึ้นในความเงียบแบบนี้ ร่างเล็กพูดขึ้นมาคนเดียวแล้วหัวเราะแห้ง
ปลายเท้าก้าวกลับหลังหันเพื่อออกไปสำรวจห้องอื่นที่ติดกัน หากแต่…
“เฮ้ย!!”
ร่างของเด็กหนุ่มผมดำ ดวงตาสีดำสนิทที่ไร้แววเป็นประกาย ภายใต้ชุดยูคาตะทีเข้มที่ดูซีดและเก่าที่ปรากฎเบื้องหน้า
“แกเป็นใครวะ?” ทำปากกล้าถามคนที่ปรากฎตัวอย่างไร้เสียง ไร้ร่องรอย แต่หัวใจกลับเต้นระรัวด้วยความตกใจ
ไม่มีการตอบคำถามจากร่างที่ดูเย็นยะเยือก
“เฮ้ย ฉันถามว่าแกเป็นใคร เข้ามาในบ้านนี้ได้ยังไง” ทำเสียงเข้มให้ข่มอาการกลัวของตัวเอง แม้จะไม่ได้อยากนึกถึง แต่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าร่างนี้กับบ้านนี้เป็นสิ่งสิ่งเดียวกัน เหมือนหลุดออกมาจากยุคเดียวกันเกินไป “คิดจะกวนประสาทกันหรือไงวะ”
มือขาวกำหมัดก่อนจะยกขึ้นและชกออกไป เป้าหมายคือกรามของอีกฝ่าย
ทว่า...ลำตัวที่ไถลวืดไปตามแรงชก ที่มันไม่ถูกสะกัดกั้นด้วยร่างของเป้าหมาย ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายหลบได้ แต่มือของเขา...ทะลุผ่านใบหน้าของร่างตรงหน้าไปเสียอย่างนั้น
ชิบ…
เปลือกตาที่ถูกแสงอาทิตย์ยามบ่ายสาดส่องค่อยกระพริบและเปิดออกมา เส้นของฝุ่นที่เห็นผ่านแสงที่ลอดทางหน้าต่าง พาให้คนที่นอนอยู่กลับไปตั้งสติเพื่อระลึกว่าตัวเองตอนนี้อยู่ที่ไหน
ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงเพิ่งลืมตา
เหมือนว่าความทรงจำบางช่วงมันหายไป
“ตื่นแล้วเหรอ” เสียงเย็นนิ่งเหมือนน้ำแข็งพาให้คนผมเงินผงกหัวขึ้นและหันไปตามเสียงนั้น
ร่างในชุดยูคาตะสีเข้มแต่หม่น เรียกความทรงที่ไม่น่าจำเท่าไรกลับมาในหัวของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
“กะ...แก….” เสียงที่เคยกล้าของโกคุเดระ ฮายาโตะกลับสั่นโดยที่ไม่สามารถควบคุมได้ “โย ริน เบียว ฉะ…” บทสวดมนต์ไม่เป็นภาษาถูกท่องออกมา พร้อมมือหนึ่งข้างที่โบกสะบัด ด้วยความเชื่อของตัวเองว่าจะไล่อีกร่างให้หายไปได้
หากแต่…
“ทำบ้าอะไรของเจ้า”
โกคุเดระ ฮายาโตะรู้สึกอยากจะยกมือขึ้นต่อยหน้าตัวเองให้สลบไปอีกรอบ
“แล้วนายล่ะ” คำถามที่ย้อนกลับมาจากฮิบาริ เคียวยะ เรียกให้คนผมเงินที่กำลังจะก้มหน้าอ่านหนังสือต่อเงยหน้าขึ้นมามอง กับเรียวคิ้วที่ขมวดมุ่น
ท่าทางจะคิดอะไรไม่เข้าท่าอีกแล้ว
“หมายถึงว่าฉันไม่อยากเกิดใหม่บ้างน่ะเหรอ...ไอ้บ้าเฟร้ยยยย ฉันจะเป็นคนนะเว้ย เป็นมนุษย์ที่มีสถานะเป็นของแข็ง ฉันยังไม่ตาย ยังไม่ต้องเกิดใหม่เว้ย!” โวยวายออกมาเสียงดัง ไอ้บ้านี่มันยึดถือว่าเขากลายเป็นวิญญาณเหมือนกับตัวเองไปแล้วแน่นอน
ฮิบาริ เคียวยะ แม้ไม่มีลมหายใจ แต่ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ด้วยความรู้สึกลึกๆ ว่าอยากส่งไอ้บ้าขี้โวยวายตรงหน้าให้ไปเกิดใหม่เป็นดาวลูกไก่เสียจริงๆ
“แล้วอยากเกิดใหม่มั้ยล่ะ” เสียงเย็นเฉียดที่สัมผัสได้ว่าคนพูดกำลังกัดฟันกรอดด้วยภาวะข่มอารมณ์ในขั้นสูงสุด พาให้โกคุเดระ ฮายาโตะค่อยๆ รวบรวมสติตัวเองขึ้นมาได้ “ฉันหมายถึงว่านายไม่อยากเปลี่ยนที่อยู่หรือไง”
คนผมเงินที่เข้าใจคำถามของอีกฝ่าย (เสียที) พยักหน้าเบาๆ เชิงรับรู้คำถามของอีกฝ่าย
“ก็ไม่นี่ อยู่ที่น่าค่าเช่าถูกจะตาย ไม่งั้นฉันคงอดตาย แถมต้องซื้อข้าวมาเลี้ยงสสารที่เดี๋ยวก็เปลี่ยนรูปไป เปลี่ยนรูปมาอย่างนายอีก ถ้าค่าเช่าไม่ถูกขนาดนี้ ฉันจะให้นายเป็นผีไม่มีข้าวกิน” เพราะว่าเป็นบ้านผี (ที่เจ้าบ้าเคียวยะ) สิง ก็ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมค่าเช่าถึงถูกแสนถูก ถูกจนเรียกว่าแทบอยู่ฟรีอยู่แล้ว
“ถ้าค่าเช่าไม่ถูกขนาดนี้ นายก็ยังจะอยู่ที่นี่เหรอ”
โกคุเดระหรี่ตามองคนที่สวนคำถามกลับมา “นายจะไปเข้าฝันเจ้าของบ้านให้ขึ้นค่าเช่าเหรอ” ถ้าไอ้บ้านี่ทำ เขาจะยอมควักเงินไปจ้างพระมาทำพิธีปัดมันออกจากบ้าน
“ประสาท”
“อ้าว ไอ้บ้าเคียวยะ อย่าหายไปอย่างงี้สิเว้ยยยยย!!!! ห้ามเด็ดขาดเลยนะ ไม่งั้นฉันจะฆ่านาย” โวยวายเมื่อร่างในชุดยูคาตะอยู่ๆ ก็หายวับไปจนตัวที่พิงอยู่ถึงกับวืดกลางอากาศ
“...ฉันตายไปแล้ว”
เสียงเย็นดังขึ้นในโสตประสาทของคนที่นั่งเคว้งอยู่กลางห้องญี่ปุ่นโบราณ
ฮิบาริ เคียวยะที่มีสถานะเป็นอดีตมนุษย์ นั่งมองหน้ามนุษย์ผิวขาว หน้าตาไม่เหมือนคนญี่ปุ่นเท่าไรนัก ที่กำลังทำหน้าตาเหมือนจะหัวเสีย แต่ก็มีความสั่นประสาทอยู่
แปลก
ตั้งแต่ที่เขามีความทรงจำกับการเป็นวิญญาณแบบนี้ ไม่ว่ามนุษย์คนไหนที่บังเอิญหรือตั้งใจเข้ามาที่นี่ ก็ไม่มีใครสามารถอดทนอยู่ได้เกินกว่าหนึ่งนาที แค่ถูกร่างที่เขาไม่ได้ปรากฎให้เห็นจ้อง คนพวกนั้นก็คล้ายจะเสียสติไปแล้ว
แต่กับคนนี้...
“โอเค ฉันจะทำบุญไปให้นาย หรือนายจะให้พระมาทำพิธีส่งนายไปสู่สวรรค์ฉันก็ทำให้ได้นะ แต่เราอย่ามายุ่งกันได้มั้ย” โกคุเดระ ฮายาโตะที่กำลังสงบสติอารมณ์พยายามใช้การทูตในการเจรจากับร่างที่อยู่ตรงหน้า
“ไม่”
ฮิบาริปฏิเสธ
“ไอ้บ้าเอ๊ย! ฉันจะไปจ้างพระมาไล่นาย” ทำไมวะ ผีก็ผีเถอะ ทำไมจะพูดดีๆ กันแล้วไม่รู้เรื่อง จะไปต่อยมันก็ต่อยไม่ได้ หรือเขาจะเผาบ้านหลังนี้ทิ้งและสวดส่งไปพร้อมควันไฟเลยดี
“เจ้าทำแบบนั้นไม่ได้หรอก” เสียงนิ่งเหมือนกับว่ารู้ทุกอย่างพาให้โกคุเดระรู้สึกอยากจะเดินเข้าไปต่อย แม้ว่าจะต่อยไม่โดนก็เถอะ “เจ้าไม่มีเงิน”
ประโยคถัดมาพาให้คนที่อารมณ์ร้อนถึงกับเย็นชาเข้าไปในหัวใจ
“นายอ่านใจคนได้หรือไง”
“หน้าเจ้าฟ้องทุกอย่าง”
โกคุเดระขมวดคิ้วยุ่ง หน้าเขามันฟ้องว่าเขาไม่มีเงินมากขนาดนั้นเลยหรือไง หน้าตาแบบนี้คือจนมาก กับการบินข้ามประเทศมาด้วยสายการบินซุปเปอร์โลวคอสที่กินเวลาการพักผ่อนของเขา มันทำให้แม้แต่วิญญาณที่ดูโบราณขนาดนี้มองออกว่าเขาไม่มีเงิน
“ข้าจะให้เจ้าอยู่ที่นี่”
คนที่ได้รับการอนุญาตเบิกตากว้าง “ฉันสิต้องเป็นฝ่ายอนุญาต ฉันจ่ายเงินค่าเช่านะเว้ย และฉันก็ไม่อนุญาตให้นายอยู่ที่นี่” เงินแต่ละเยนที่ต้องจ่ายไปนั่นจะมาจากน้ำพักน้ำแรงในการทำงานพิเศษของเขาเชียวนะ เพราะฉะนั้นค่าเช่าที่ถูกแสนถูกเลยเป็นจุดล่อใจให้เขากดจองบ้านนี้ไปในเว็บไซต์
เขาจะไปรีวิวว่าที่นี่มีผี !
“โอ๊ย...” คนตัวเล็กร้องเสียงดังเมื่อรู้สึกว่าเจ็บแปลบตรงหัวใจขึ้นมา เมื่อหันขึ้นไปมองพบกับสายตาคมกริบที่จ้องกลับมา “ไอ้บ้า อย่ามาขี้โกงใช้พลังจิตนะเว้ย” ทำไมมนุษย์ถึงต่อยผีไม่ได้
“ข้าจะไม่ไปไหน เจ้าก็เหมือนกัน”
“ฉันจะไม่อยู่ที่นี่”
“เจ้าไม่มีเงิน”
โกคุเดระ ฮายาโตะ นักเรียนต่างชาติที่บินข้ามมหาสุมทรมาอยู่ในประเทศญี่ปุ่น รู้สึกอยากจะจุดไฟเผาทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าและรอบๆ ตัว อะไรก็ได้ที่จะทำให้เจ้าวิญญาณบ้านี่หายไป
ใช่...เขาไม่มีเงิน
บ้าเอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย !!
“เรียกข้าว่าเคียวยะ” เจ้าของดวงตาสีดำสนิทเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน เมื่อความเงียบสงบปกคลุมพร้อมกับอาการขัดอกขัดใจแต่นิ่งเงียบของคนผมเงิน
“ฟังดูเหมือนจะเป็นชื่อต้น” คู่สนทนาพึมพำออกมา แม้เขาจะไม่ใช่คนญี่ปุ่น 100% แต่เขาพอจะสัมผัสได้ว่าเหมือนจะเป็นชื่อต้นมากกว่าชื่อสกุล แต่คนญี่ปุ่นก็ไม่เรียกกันด้วยชื่ต้น ถ้าไม่ได้สนิทกัน
“ใช่”
“ฉันไม่ได้อยากจะสนิทกับนายนะเฟร้ย” บ้าชัดๆ เขาไม่ได้อยากจะผูกมิตรกับวิญญาณเลยแม้แต่น้อย มันไม่อยู่ในแม้แต่เศษเสี้ยวของความคิดนับตั้งแต่เขาจำความได้ สัตว์ประหลาดนอกโลกนั่นคืออีกเรื่อง แต่วิญญาณมันก็คืออีกเรื่องไม่ใช่หรือไง
ฮิบาริหรี่ตาลง แต่กลับถูกดวงตากลมตวัดใส่อย่างรู้ทัน
“อย่ามาเล่นมุกพลังโรคจิตบ้าบอของนายเชียวนะเว้ย ฉันต่อยนายไม่ได้ แต่ฉันจะสาปแช่งนายไปจนตาย” พูดออกมาเร็วปรื๋อ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะใช้สายตาทิ่มแทง ที่มันทำให้เขารู้สึกเจ็บจริงๆ
ร่างผมดำปิดเปลือกตาแล้วกระตุกยิ้มบนริมฝีปาก “เจ้าเป็นคนแรกที่ไม่เป็นอะไร ฮายาโตะ”
“เอ๋ ? ฉันไม่เคยบอกชื่อให้นายรู้นะ แล้วก็อย่ามาเรียกด้วยชื่อต้นแบบนั้นสิ” แม้จะงงๆ กับประโยคบอกเล่าที่ได้ยิน อะไรคือการไม่เป็นอะไร ไอ้สายตาทิ่มแทงน่ะมันก็เจ็บจริง แต่มันจะคันๆ แบบน่ารำคาญมากกว่า แต่ว่าไอ้บ้านี่มันรู้ชื่อของเขาได้ไง
“ข้าเห็นในหนังสือเล่มเล็กๆ ของเจ้า”
โกคุเดระหันไปมองตามสายตาสีดำไปมองไปด้านหลัง พาสปอร์ตของเขาที่เปิดหน้าแรกเอาไว้ เจ้านี่เป็นวิญญาณในยุคไหนกันนะ ทำไมอ่านภาษาอังกฤษออกด้วย
“นายตายเมื่อไร” เอ่ยถามออกไปด้วยความอยากรู้ “โอ๊ยยย...ไอ้บ้าเคียวยะ!” แล้วก็ถูกสายตาพิฆาตตวัดมองพาให้คนตัวเล็กเม้มปากด้วยความหงุดหงิด
“ถ้าจะอยู่ด้วยกันก็อย่ามาใช้พลังโรคจิตสิฟระ!!”
“ได้ อยู่ด้วยกัน เจ้ายอมรับแล้วนะ”
โกคุเดระ ฮายาโตะนั่งพิงหลังอยู่กับรั้วของเฉลียงหลังเรือนโบราณ คำถามที่ได้ยินจากฮิบาริกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง เขาจำไม่ได้แล้วว่าเช่าบ้านหลังนี้อยู่มานานแค่ไหนแล้ว พอๆ กับที่ไม่แน่ใจว่าความคิดที่จะย้ายออกจากบ้านหลังนี้มันหายไปเมื่อไร
แทบไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะไม่อยู่ที่นี่
ไม่มีเลย
ฮิบาริ เคียวยะปรากฎร่างเลือนลางอยู่ใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ข้างรั้วบ้าน มันนานมากแล้วที่เขาเคยชินกับการไม่มีใครมองเห็น หรือใครก็ตามที่มองเห็นก็ไม่สามารถอยู่กับเขาได้
นั่นมันเป็นเรื่องดี เขาไม่ชอบการสุมหัว
เขาอยู่ที่นี่ ที่เรือนโบราณหลังนี้มานาน นานเกินไปกว่าจะกลับมาย้อนคิดเรื่องไปเกิดใหม่ได้ และ...ก็ไม่มีเหตุผลที่ดีที่เขาควรจะไปเกิดใหม่
ไม่มีเลย
The End
(February 2017)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น